คาดดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท มีแหล่งที่มาจากเงินงบประมาณ 67-68 ส่อเริ่มได้ใช้กันยายนปีหน้า


 

ด้าน “พิสิฐ” ไม่เชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง แนะทุ่มงบประมาณพัฒนากำลังผลิตหลักของประเทศ

นายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภา เป็นประธานเปิดการเสวนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ "นานาทัศนะกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท : เป้าหมายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้ความท้าทายและพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปของประเทศ"

ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา ร่วมกับ คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา และคณะกรรมการวิชาการของวุฒิสภา

โดยนายศุภชัย กล่าวว่า นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เป็น 1 ในนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้แถลงต่อรัฐสภา มีเป้าหมายแจกเงินดิจิทัลให้ประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป คนละ 10,000 บาท ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยใช้ระบบบล็อกเชนเพื่อเอื้อต่อการจ่ายเงินรูปแบบใหม่ ภายใต้งบประมาณกว่า 500,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกันก็มีหลายฝ่าย เช่นคณาจารย์ และนักวิชาการ ออกมาเรียกร้องให้มีการยกเลิก เนื่องจากมองว่า ได้ประโยชน์น้อยไม่คุ้มกับต้นทุน อีกทั้งยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานการจ่ายเงินระยะสั้น ไม่คำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง

ดังนั้น สว. ในฐานะสถาบันการเมืองที่มีความเป็นกลาง จึงได้เชิญทุกฝ่ายมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อระดมข้อเสนอจัดทำเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาส่งต่อไปยังรัฐบาลต่อไป

ขณะที่การเสวนา มีตัวแทนจากหลายฝ่าย ประกอบด้วย นายพิชัย ชุณหวชิร ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการนี้มีหลายอย่างจะมีการปรับเปลี่ยน

เช่นการให้สิทธิประชาชน 56 ล้านคน เพราะหลายฝ่ายเห็นว่าไม่ควรแจกคนรวย เพราะการให้เงินคนรวยไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากคนรวยจะเอาเงินในส่วนนี้ทดแทนค่าใช้จ่าย และเก็บเงินของตัวเองไว้แทน แต่ถ้าให้คนที่พอมี จะสามารถนำไปใช้หนี้

ดังนั้นตัวเลขประชาชนที่ได้สิทธิจะเหลือ 40 กว่าล้านคน ซึ่งยังไม่รวมผู้ที่ไม่มาลงทะเบียนอีก

เชื่อว่า โครงการดังกล่าวจะใช้เงินจากงบประมาณ แต่คงไม่ถึง 500,000 ล้านบาท โดยผ่านการอนุมัติจากสภา ซึ่งงบประมาณดังกล่าวจะมีความล่าช้า ไม่น่าจะทันในเดือนกุมภาพันธ์ 67 แต่จะสามารถใช้ได้ในช่วงเดือนกันยายนแทน

ขณะเดียวกันน่าจะมีเร่งดำเนินการงบประมาณปี 2568 ไปด้วย เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและแล้วเสร็จในเวลาใกล้เคียงกัน

ส่วนเงื่อนไขที่จะใช้เงินได้ในระยะ 4 กม. นั้นคงไม่มีแล้ว แต่จะให้อยู่ในอำเภอหรือเขตเดียวกัน เพื่อให้เกิดการกระจายอย่างทั่วถึง

”วันนี้ประชาชนส่วนใหญ่ทั้งช้างบน ข้างล่าง ตรงกลาง กรอบหมดแล้ว ไม่สามารถจะกู้เพิ่ม รายได้ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นโครงการนี้จึงจำเป็น กระตุ้นความเชื่อมั่น ความคึกคัก

แต่โครงการนี้ก็จะต้องควบคู่ไปกับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการทางเศรษฐกิจที่ต้องทำให้มองเห็น เป็นโจทย์ยากที่รัฐบาลต้องทำให้สอดคล้องกันให้ได้” นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย ยังย้ำว่า จำเป็นต้องแจกเงินเป็นเงินดิจิทัลเพื่อบังคับให้มีการใช้จ่าย ส่วนคนที่จะมาขึ้นเงินก็ต้องลงทะเบียนและเสียภาษีด้วย

ทั้งนี้การแจกเงินอาจจะได้ไม่พร้อมกัน และอาจจะได้ใช้เงินในช่วงที่มีวันหยุด เช่นปีใหม่ หรือสงกรานต์ เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว

และเชื่อว่า 90% น่าจะกลับไปใช้ แอพลิเคชั่น เป๋าตัง เนื่องจากมองว่า การพัฒนาระบบขึ้นมาใหม่ต้องใช้เวลานานและยุ่งยาก

นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจที่ต้องมีกระตุ้น และแก้ไข แต่ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้ตอบโจทย์ ต่อให้เป็นการใช้จ่ายในระดับหมู่บ้านก็ตาม และเป็นไปได้ยากที่โครงการนี้จะยั่งยืน

แต่สิ่งที่อยากเห็นคือ นำเงินส่วนนี้ไปช่วยในกำลังผลิต เช่นแหล่งน้ำ เพื่อให้ประชาชนมีน้ำใช้ทุกหมู่บ้าน ทั้งที่ไปศึกษาเรื่องดังกล่าวจากการเดินทางไปต่างประเทศ เช่นยูเอ็น ซึ่งเป็นหนึ่งที่ 17 ข้อ ของ SDG ที่เป็นเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน แต่กลับไม่นำเรื่องดังกล่าวมาขับเคลื่อนเลย นี่คือวิธีคิดวิธีทำงานที่ต้องเพิ่มศักยภาพลดต้นทุนค่าใช้จ่าย แต่ไม่ใช่หวังให้คนใช้จ่ายแล้วเศรษฐกิจจะขยายตัวได้อย่างยั่งยืน

อีกทั้งขณะนี้รัฐบาลกำลังจะทำผิดกฎหมายหลายอย่าง พร้อมขอให้ฟังสำนักงบประมาณในการของบฯ ไม่เช่นนั้นจะเกิดการขาดดุล และผิดวินัยการเงินการคลัง

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ริลลินช์ภัทร จำกัด มองว่า ปัจจุบันมีแต่การถกเถียงเรื่องแหล่งเงิน แทนที่จะให้หน่วยงานราชการช่วยกันนำไปคิด แต่เชื่อว่าประชาชนน่าจะบริหารจัดการการใช้จ่ายภายในครอบครัวตัวเองได้

หากนโยบายอื่นๆของรัฐบาล ทั้งเรื่องซอร์ฟพาวเวอร์ และเรื่องการท่องเที่ยว เอื้อไปด้วยกันจะทำให้ภาคประชาชนเกิดความมั่นใจ ว่าที่รัฐบาลทำเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งที่ผ่านมาผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ไม่เคยคำนึงถึงเรื่องดังกล่าว