‘ถอดฟืนออกจากกองไฟ’



 
(5 ตค.66)นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมส.ส.พรรคยื่นร่างกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร

นายวันมูหะมัดนอร์  กล่าวถภายหลังรับหนังสือว่าก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับนายชัยธวัชที่ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคและจะได้ทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนทุกคนต่อไป

สำหรับร่างพระราชบัญญัติบุคคลซึ่งกระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง จะได้ให้ฝ่ายเลขาธิการได้ลงหมายเลขรับ และ พิจารณาให้ดำเนินการ เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับและจะแจ้งให้ผู้ยื่นได้ทราบโดยเร็ว ภายใน 7 วัน

นายชัยธวัช กล่าวว่า พรรคก้าวไกลได้ยื่นร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองพ.ศ. ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร

ด้วยเหตุผลสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้ออย่างต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน

นับตั้งแต่การชุมนุมครั้งแรกของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อ 11 ก.พ.  2549 และลุกลามบานปลายจนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549

และต่อมาก็ยังมีการรัฐประหารซ้ำอีกครั้งเมื่อปี 57 และตลอดระยะเวลาของการชุมนุมนับตั้งแต่ครั้งแรก สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน มีพี่น้องประชาชนจำนวนมากเข้าไปมีส่วนร่วมในการชุมนุม หรือการแสดงออกในทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ

และตลอดระยะเวลามีประชาชนนับ 1,000 คนถูกดำเนินคดี ตั้งแต่คดีเล็กๆน้อยๆ จนถึงข้อกล่าวหาร้ายแรง รวมถึงคดีความมั่นคง และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการยุติในการดำเนินคดี

ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวพรรคก้าวไกลเห็นว่าทำให้ยากที่จะนำคนไทยกลับเข้าสู่ภาวะปกติสุข เกิดความสามัคคีกันในสังคม เพราะพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ที่ได้ถูกดำเนินคดีหรือมีส่วนร่วมทางการเมือง ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนต่างก็มีความเห็นว่า รัฐไม่มีความเคารพต่อสิทธิมนุษยชน และสิทธิเสรีภาพของพลเมือง

จึงเห็นว่าถึงเวลาที่จะต้องยุตินิติสงครามและการนิรโทษกรรมจะเป็นหนทางที่ "ถอดฟืนออกจากกองไฟ" เป็นก้าวแรกในการเริ่มต้นสร้างความยุติธรรมและความปรองดองที่ยั่งยืนในสังคมไทยต่อไป

สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมนั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า ได้กำหนดให้การกระทำใดๆของบุคคลผู้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมือง ตลอดจนการกระทำทำทางกายภาพ หรือแสดงความคิดเห็นใดๆที่เป็นความผิดตามกฎหมายในช่วงเวลาที่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2549 คือนับวันแรกของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรจนถึงวันที่พระราชบัญนี้ได้มีผลบังคับใช้

หากการกระทำดังกล่าว มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิด และความรับผิดโดยสิ้นเชิงทั้งนี้ ต้องมิให้ขัดกับพันธะกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศ

ขณะที่การนิรโทษกรรมนี้จะไม่ครอบคลุมถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุม หากเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุ ตลอดจนจะไม่นิรโทษกรรมการทำความผิดต่อชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา และจะไม่นิรโทษกรรมการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113

ส่วนจะรวม คดีมาตรา 112 หรือไม่อยู่ในวินิจฉัยของคณะกรรมการ โดยกลไกในการนิรโทษกรรมจะกำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการกระทำความผิดเพื่อการนิรโทษกรรม

ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ ในร่างเสนอให้มีจำนวน 9 คน ซึ่งประธานรัฐสภาจะเป็นผู้แต่งตั้ง โดยมีองค์ประกอบจากประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร บุคคลที่ได้รับเลือกจากคณะรัฐมนตรี มาจากบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรเลือกอีก 2 คน มาจากผู้พิพากษา อดีตผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม ของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ตุลาการหรืออดีตศาลปกครอง 1 คน มาจาก คณะกรรมการอัยการ 1 คนและสุดท้าย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

นายชัยธวัช กล่าวว่า พรรคก้าวไกลย้ำว่าการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในครั้งนี้ เรามุ่งหวังให้เป็นกฎหมายสำคัญสำหรับการคืนชีวิตใหม่ให้กับพี่น้องประชาชนที่โดนนิติสงคราม หรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองแสดงออกทางการเมืองใดๆและถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ซึ่งพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ไปชุมนุมโดยสันติ และเชื่อว่าการนิรโทษกรรมนี้เป็นสิ่งที่สามารถเป็นไปได้ หากพรรคการเมืองร่วมกันผลักดัน ซึ่งที่ผ่านมาพรรคการเมืองต่างไม่ได้ปฏิเสธ จึงจะใช้โอกาสนี้ในการพูดคุยกับพรรคการเมืองทุกฝ่าย รวมถึงพี่น้องประชาชนทุกฝ่าย ทุกสี ที่มีความขัดแย้งกันในอดีตให้สำเร็จให้ได้

ซึ่งเชื่อว่าแม้เรา อาจจะไม่ได้มีความเห็นทางการเมืองตรงกลางทั้งหมดแต่ก็เชื่อว่า ทุกฝ่าย ที่มาแสดงออกทางการเมือง ยืนอยู่ บนพื้นฐานความคิดความเชื่อที่ทำให้การเมืองดีดังนั้นการยุติการต่อสู้การดำเนินคดี ไม่ว่าฝ่ายไหน จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ ใช้ กระบวนการที่สันติแสวงหาฉันตามมาติที่เป็นที่ยอมรับ

และเชื่อว่าภายหลังการพูดคุยพรรคการเมืองต่างๆอาจจะมีร่างกฎหมายลักษณะเดียวกันมาประกบ

นายชัยธวัช กล่าวว่าได้พูดคุยเรื่องนี้กับพรรคการเมืองต่างๆแล้วรวมถึงพรรคเพื่อไทย ที่อาจจะไม่เสนอร่าง แต่มีท่าทีสนับสนุน และตนได้ขอให้มาคุยเรื่องนี้ในชั้นกรรมาธิการ ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการพูดคุยเรื่องนี้กับสว.ไว้บ้างแล้วตั้งแต่ปลายสมัยประชุมที่แล้ว ซึ่งคิดว่าน่าจะสานต่อ และหวังว่า ถ้าได้คุยกับพรรคการเมืองต่างๆทุกพรรค โดยเฉพาะพรรคการเมืองใหญ่ในฟากรัฐบาล ก็ไม่ได้มีอะไรที่ติดขัด โดยต่างเห็นประโยชน์และความจำเป็น ต่อสถานการณ์ทางการเมือง

เพราะรัฐบาลก็ได้แถลงว่าการจัดตั้งรัฐบาลมีเป้าหมายเรื่องความปรองดอง ซึ่งตนคิดว่าความปรองดองจะสำเร็จขึ้นได้ เงื่อนไขสำคัญคือความยุติธรรม ให้กับพี่น้องประชาชน ด้วยการนิรโทษกรรมทางการเมือง

แม้หลายกรณีอาจจะมองว่าคนที่ถูกกล่าวหามีความผิดจริง แต่เราต้องยอมรับว่า เป็นการกระทำผิดที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ซึ่งคิดว่าหากเรามาเริ่มต้นกันใหม่คืนความยุติธรรมให้กับพี่น้องประชาชน ยุติคดีความที่เป็นเงื่อนไขให้คนที่เห็นต่างกัน มีพื้นที่ได้กลับมาคุยกัน โดยกระบวนการทางประชาธิปไตย แบบนี้ถือเป็นก้าวแรกที่จะสร้างความปรองดองได้