ปลัดสธ.ชี้ไทยทดสอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในหนู-ลิง สำเร็จเตรียมทดสอบในมนุษย์ต่อ

วันนี้ (29 มิ.ย.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)  (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  แถลงสถานการณ์ประจำวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)  เปิดเผยว่า ไทยไม่พบการติดเชื้อภายในประเทศ  35 วันต่อเนื่อง สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ 
 

 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก
     


สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลกว่า พบผู้ติดเชื้อ 10,237,543 ราย เพิ่มขึ้นมา 163,731 ราย สหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศที่พบว่ามีผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมมากที่สุด รองลงมาคือประเทศบราซิล อินเดีย ตามลำดับ ขณะที่ไทยอยู่ในลำดับที่ 95 ของโลกแล้ว  


ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวถึงการผ่อนปรนกิจกรรมและกิจการในประเทศระยะที่ 5 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 สูง  รัฐบาลจึงเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ทั้งยาและเวชภัณฑ์ เช่น หน้ากากอนามัย N 95 จำนวน 1,127,970 ชิ้น  ชุด PPE  511,578 ชุด เครื่องช่วยหายใจว่างพร้อมใช้ทันที 11,096 เครื่อง  ยา Favipiravir จำนวน 319,994 เม็ด   รวมทั้งสำรวจเตียงไอซียูตามโรงพยาบาลในกรุงเทพมหานครและทั่วประเทศ รองรับผู้ป่วย 571 เตียง และสำหรับผู้ป่วยที่เป็นห้องแยกหรือเป็นผู้ป่วยหนัก 11,206 เตียง และทั่วไป 10,349 เตียง ซึ่งคาดว่า เตียงผู้ป่วยมีเพียงพอที่จะรองรับ  

นอกจากนี้  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังได้มีแผนพัฒนาวัคซีนตามนโยบายของรัฐบาลใน  3 แนวทางเพื่อให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนโควิด -19 คือ  ต้องมีการพัฒนาหรือวิจัยในประเทศ   การทำความร่วมมือวิจัยกับต่างประเทศ  และการจัดซื้อ จัดหานำมาใช้ในประเทศ  โดยคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล  คณะเภสัช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ร่วมกันพัฒนาและวิจัยวัคซีนต้นแบบในประเทศ  โดยได้มีการทดสอบวัคซีนในหนูและลิงแล้ว พร้อมเตรียมไปสู่การทดสอบในมนุษย์ หากประสบความสำเร็จสามารถการผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ถึง 30 ล้านโดสต่อปี คาดว่าสามารถนำไปใช้ประมาณปลายปี 64  หรืออาจเร็วขึ้น  ในการจัดซื้อต่างประเทศก็ได้มีการติดตามใน 2 ประเทศ 5 หน่วยงาน คาดว่าค่าใช้จ่ายต่อโดสประมาณ 20-30 เหรียญสหรัฐ ฯ  สำหรับความร่วมมือในระดับนานาประเทศ  ไทยยังร่วมมือกับกลุ่มอาเซียน ระหว่างไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สำหรับการวิจัยวัคซีนในคน เพื่อผลิตร่วมกันในอนาคตอีกด้วย เพื่อให้คนไทยมั่นใจว่าจะมีวัคซีนเพียงพอและทันต่อเหตุการณ์