นายกฯ ย้ำขอให้ทุกคน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” สั่งให้ทุกหน่วยงานพร้อมช่วยเหลือประชาชน

วันนี้ (28 มี.ค.63) เวลา 11.15 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “COVID-19” โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทยทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โฆษก ศบค.) แถลงความคืบหน้าการดำเนินงานของ ศบค. และข้อสั่งการของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประธานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า นายกรัฐมนตรีขอขอบคุณทุกหน่วยงานทุกองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม. ตั้งแต่ระดับจังหวัดถึงหมู่บ้าน ทหาร ตำรวจ องค์กรอิสระ จิตอาสาต่าง ๆ ที่ร่วมกันต่อสู้เพื่อสกัดและหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และนายกรัฐมนตรีฝากถึงพี่น้องประชาชนว่า ขอให้ประชาชนคนไทยทุกคนได้พร้อมใจกันอยู่บ้านเพื่อป้องกันตัวเอง เพื่อแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ที่ทุ่มเทกันอย่างเหน็ดเหนื่อยในขณะนี้โดยไม่ย่อท้อ เพื่อช่วยรักษาชีวิตของทุกคน และในช่วงวันหยุดนี้นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกคน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”  
 
โฆษก ศบค. กล่าวถึงสถานการณ์โดยลำดับของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยว่า ณ วันนี้ (28 มี.ค.63)  มีรายงานผู้ป่วยรวมเป็น 1,245 ราย เป็นผู้ป่วยใหม่จำนวน 109 ราย ซึ่งสถานการณ์รายวันยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ ผู้ป่วยรายใหม่ยังทรงตัว ทั้งนี้ในจำนวนผู้ป่วยรวม 1,245 รายเป็นคนไทย 1,032 ราย อื่น ๆ 213 ราย เคสผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อายุของผู้ป่วยที่มีมากที่สุดอยู่ในกลุ่มวัยทำงานอายุระหว่าง 20 – 59 ปีซึ่งเป็นกลุ่มวัยที่จะต้องรักษาดูแลตัวเองให้ดี โดย 80% ของคนที่ติดเชื้อนี้อาจจะมีอาการน้อยหรือไม่มีอาการเลย จึงเป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ทุกคนต้องอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ขณะที่การกระจายของโรคตามภูมิภาคต่าง ๆ ยังคล้ายกับเมื่อวานนี้คือกระจุกตัวระหว่างกรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมถึงจังหวัดท่องเที่ยวภาคตะวันออก จังหวัดท่องเที่ยวภาคภาคใต้ ได้แก่ ภูเก็ต และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จากพิธีทางศาสนาที่ทำให้มีการระบาดของโรคขึ้น ด้านตัวเลขจำแนกผู้ป่วยรายใหม่ กระทรวงมหาดไทยได้ประสานผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ ที่ปรากฏผู้ป่วยรายใหม่เหล่านี้ ให้ขอความร่วมมือผู้ป่วยได้ให้ความร่วมมือกับฝ่ายปกครองเพื่อความปลอดภัย
 
โฆษก ศบค. กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ของโรคเมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ พบตัวเลขผู้ป่วยยืนยันทั่วโลก 596,779 คน เป็นผู้ป่วยหนัก 23,523 ราย เพิ่มจากวานนี้ 4,365 ราย มีผู้ที่หายป่วย 13,355 รายซึ่งถือเป็นข่าวดีของทั่วโลก แต่ที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งคือมีผู้ที่จากไปแล้ว 27,352 ราย เพิ่มขึ้นในวันเดียว 3,700 กว่าราย โดยอันดับที่มีความเข้มข้นสูงสุดอยู่ที่สหรัฐอเมริกาที่มีการยืนยันผู้ติดเชื้อรวม 104,142 ราย รองลงมาคืออิตาลี มีผู้ติดเชื้อรวม 68,498 ราย ซึ่งผู้ป่วยรายใหม่ของสหรัฐอเมริกามีจำนวนเพิ่มขึ้น 25,000 คน ขณะที่ผู้ป่วยรายใหม่ของอิตาลีอยู่ที่ 5,909 คน ขณะนี้ตัวเลขที่น่ากังวลใจคือการเสียชีวิตประมาณ 9,000 กว่ารายที่อิตาลี ด้านประเทศจีนมีตัวเลขที่เป็นบวกอยู่บ้างแต่เป็นหลักร้อย เพราะความร่วมมือของผู้บริหารและประชาชนชาวจีน ขณะที่อิหร่านมีตัวเลขผู้ป่วยประมาณ 32,000 คน เป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นประมาณ 2,900 ราย มีผู้เสียชีวิต 2,000 กว่าราย เกาหลีใต้อยู่ที่อันดับ 10 มีตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 237 ราย
 
โฆษก ศบค. กล่าวด้วยว่า เราจะต้องเรียนรู้จากสถานการณ์ทั่วโลกเพื่อนำมาปรับใช้ จะเห็นว่าประเทศแถบยุโรปยังมีตัวเลขสูงติดอันดับ 1 ใน 20 เกือบทั้งนั้น โดยประเทศไทยคงไม่ได้เป็นประเทศเดียวที่ต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน เพราะจะเห็นถึงสถานการณ์ของโลกที่ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนอยู่มากมาย สำหรับประเทศที่ต้องล็อคดาวน์ทั้งประเทศคืออิตาลี สเปน ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ เอลซาลวาดอร์ เดนมาร์ก โปแลนด์ สหภาพยุโรป เปรู มาเลเซีย ยูเครน และเบลเยียม ส่วนประเทศที่ปิดพื้นที่บางส่วนคือ จีน รัสเซีย เยอรมัน นอรเวย์ โมร็อกโก ฟิลิปปินส์ โคลัมเบีย กรีซ จอร์แดน แคนาดา และประเทศส่วนใหญ่เป็นประเทศที่ปิดชายแดนอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเรามีผู้ที่ร่วมชะตากรรมทั่วโลก และมีการเดินทางของระยะของโรคที่แตกต่างกันไป  ดังนั้น สถานการณ์เหล่านี้เป็นเหตุผลที่เราต้องมีการตื่นตัวทั้งประเทศ คนไทยทุกคนต้องมีส่วนร่วมด้วยกัน 

 
พร้อมกันนี้ โฆษก ศบค. กล่าวถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้ยา เวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งหลาย ซึ่งจากการประชุม ศบค. 2-3 วันที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา องค์การเภสัชกรรม ดำเนินการอำนวยความสะดวกให้มีการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งหลายได้อย่างถูกต้อง เช่น ยา ต้องนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตคือจีนและญี่ปุ่น ถึงแม้จะไม่ได้รักษาโดยตรง แต่ก็ต้องนำมาโดยอ้อม หรือนำเข้ามาเป็นยาสูตรที่จะรักษาคนไข้ ทั้งนี้ จากการประชุมปรึกษาหารือของทั้ง 3 หน่วยงาน ได้ผลสรุปการกำหนดแนวทางปฏิบัติให้มีการผ่อนปรนระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของราชการ โดยมีมติให้มีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุสำหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคโควิด-19 ทุกวงเงิน ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดวงเงินในการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งในเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยมาก เพราะปัจจัยต่าง ๆ ที่จะนำมาช่วยในการบำบัดรักษาต้องมีความสะดวก ซึ่งได้มีการผ่อนปรนระเบียบนี้แล้วตามคำสั่งนายกรัฐฒนตรี ทั้งนี้ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาได้ให้ข้อมูลว่า ได้สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น หน้ากาก N95 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ หรือชุดป้องกันตนเอง PPE จำนวนอย่างละ 400,000 ชิ้น คาดว่าจะได้ในเร็ววันนี้ เพราะมีการผ่อนปรนกฎระเบียบแล้ว บุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเป็นส่วนหน้าที่ต้องเผชิญกับการติดเชื้อจะได้มีเครื่องปกป้องร่างกาย ทั้งนี้ จากข่าวคราวที่ได้รับทราบกันคือ ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอิตาลี หรือสหรัฐอเมริกาก็มีประเด็นอย่างนี้เช่นกัน เพราะเกิดการขาดแคลนไปทั่วโลก  
 
โฆษก ศบค. ยังกล่าวถึงเรื่องการลงทะเบียนเพื่อขอรับเงินจากมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ที่จะเริ่มต้นให้ลงทะเบียนตามมาตรการในช่วงเย็นวันนี้ ซึ่งจากข่าวจะเห็นว่ามีประชาชนจำนวนมากไปยืนรอเข้าธนาคารต่าง ๆ โดยนายกรัฐมนตรีมีข้อห่วงใยและสั่งการให้ชี้แจงให้ประชาชนได้สบายใจว่า หลังจากที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการแล้วจะมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยจะใช้วิธีการลงทะเบียนผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้เกิดการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล สำหรับผู้ที่จะได้รับเงิน 5,000 บาทคือแรงงาน ลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระ เน้นคนทำงานที่เดือดร้อนจากโควิด-19 เช่น ถูกเลิกจ้าง โดนลดเวลาทำงานที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ โดนลดเงินเดือน สถานประกอบการถูกปิด ถ้าเข้าข่ายกรณีดังกล่าวก็จะได้รับเงินทั้งหมด  ส่วนที่มีคำถามมามากว่าเกษตรกรจะได้รับเงินนี้หรือไม่นั้นมีคำตอบว่า ไม่ห้ามกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องมีคุณสมบัติครบ คือ เป็นแรงงาน หรือลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระ ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม และได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สามารถลงทะเบียนผ่านโทรศัพท์มือถือได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com เริ่มตั้งแต่เวลา18.00 น. วันนี้ โดยประชาชนไม่ต้องไปที่สาขาของธนาคาร  และขอให้ใช้บัญชีธนาคารที่มีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเปิดบัญชีธนาคารใหม่ ให้เตรียมบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์มือถือที่ติดต่อได้เพื่อรับ SMS แจ้งการรับเงิน พร้อมเตรียมข้อมูลการทำงาน และยืนยันว่าเป็นผู้ที่รับผลกระทบ โดยหลังจากลงทะเบียนสำเร็จจะได้รับเงินอย่างเร็วที่สุดคือใน 7 วันทำการหลังลงทะเบียน และจะได้รับเงินต่อเนื่อง 3 เดือนตั้งแต่ เม.ย. – มิ.ย.63 ทั้งนี้ ไม่มีกำหนดการปิดรับลงทะเบียน และโฆษกกระทรวงการคลังยืนยันว่าไม่มีการจำกัดจำนวนผู้ลงทะเบียน หากมีข้อสงสัยให้โทรสอบถามได้ที่หมายเลข 02 111 1144  
 
โฆษก ศบค. กล่าวในตอนท้ายว่า นายกรัฐมนตรีย้ำสั่งการให้ทุกหน่วยงานพร้อมช่วยเหลือประชาชนทุกเรื่องตลอดเวลา หากประชาชนลงทะเบียนออนไลน์ทางโทรศัพท์ไม่เป็น หรือติดขัด สามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ และให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำงานเชิงรุกช่วยเหลือประชาชนในการลงทะเบียนดังกล่าวให้ได้ ให้ประชาชนทุกคนมั่นใจได้ว่าไม่ถูกทอดทิ้ง รัฐบาลดูแลทุกเรื่อง เพื่อให้เราผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน นอกจากนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้เน้นย้ำว่า เรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นมาตรการระดับโลกยืนยันว่าได้ผล จึงขอเน้นย้ำให้ประชาชนได้เว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัย กินร้อน ช้อนส่วนตัว เพื่อความปลอดภัยไม่ติดโรค