เบาหวาน-ความดัน โรคร้ายไม่ตายก็เสี่ยงอัมพาต

“อัมพฤกษ์ อัมพาต” เป็นภัยเงียบที่ทำให้ทุพพลภาพหรือเสียชีวิตได้ โดยอาการของอัมพฤกษ์ อัมพาตจะเกิดที่กล้ามเนื้อของอวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้เนื่องจากภาวะเจ็บป่วยที่ทำให้ระบบสั่งการของสมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายเกิดความผิดปกติ

ซึ่งสาเหตุหนึ่งเกิดจาก “โรคหลอดเลือดสมอง” ซึ่งเป็นภาวะที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ทำให้สมองขาดเลือดและออกซิเจน สาเหตุจากภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และเบาหวานข้อมูลจากรายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 ปี 2557 ในประชากรไทยอายุ15 ปี ขึ้นไป โดยสถาบันวิจัยระบบสาธาณสุข (สวรส.) พบว่า ความชุกของเบาหวานในคนไทย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.9ในปี 2552 เป็นร้อยละ 8.9 ในปี 2557 และความชุกของโรคความดันโลหิตสูง เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 21.4 ในปี 2552เป็นร้อยละ 24.7 ในปี 2557 โดยข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่าเบาหวานและความดันโลหิตสูงยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไตเรื้อรังตามมาได้อีกด้วย

โดยข้อมูลจากกรมการแพทย์พบคนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังประมาณ 8 ล้านคน โดยในจำนวนนี้ มีประมาณ 1แสนคนเป็นผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งต้องใช้งบประมาณในการบำบัดรักษากว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปีหากไม่มีการแก้ไขป้องกันคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีผู้ป่วยเพิ่มเป็นกว่า 2 แสนราย หรือต้องใช้งบประมาณปีละกว่า4 หมื่นล้านบาทจากข้อมูลสถานการณ์โรคเบาหวานและความดันโลหิตของประเทศไทยนับว่ามีความน่าเป็นห่วงเพราะทั้งเบาหวานและความดันโลหิต เป็นสาเหตุของการเกิดโรคไตและโรคร้ายแรงอื่นๆ ตามมาหากยังไม่มีมาตรการป้องกัน ควบคุมจะทำให้ประเทศต้องแบกรับกับจำนวนผู้ป่วยและค่าใช่จ่ายทางด้านสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นจากปัญหาดังกล่าวถือเป็นสัญญาณเตือนของประเทศไทยที่ควรถือเป็นวาระแห่งชาติที่จะต้องประกาศสงครามเบาหวานและความดันโลหิตสูงอย่างเร่งด่วนผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ ผู้จัดการงานวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า สวรส.ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมประกาศสงครามกับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเพื่อเร่งรัดให้เกิดนโยบายสาธารณะระดับชาติที่เน้นการจัดการเบาหวานและความดันโลหิตสูงและสร้างการมีส่วนร่วมจากหน่วยงานรัฐ ธุรกิจเอกชน ภาคท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย

โดยกลยุทธ์ที่กระทรวงสาธารณสุขได้วางไว้ในเบื้องต้น เช่นการประกาศสงครามกับโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงสู่สาธารณะการเร่งรัดให้หน่วยงานของรัฐทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกำกับออกระเบียบส่งเสริมหรือการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการทำการประกอบการที่รับผิดชอบต่อสังคมลดความเสี่ยงการเกิดโรค อาทิ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)เข้ามาช่วยในการติดสลากเตือนสินค้าที่มีรสหวานมันเค็มกระทรวงพาณิชย์พิจารณาการลดภาษีให้กับผู้ประกอบการที่ลดโซเดียมในสินค้าบริโภค การหนุนให้ อสม.ทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในการให้ความรู้ความเข้าใจในการดูแลประชาชนในชุมชน ทั้งการคัดกรองแนะนำการเช็คค่าน้ำตาล ค่าความดันโลหิต ตลอดจนแนวทางควบคุมไม่ให้ค่าน้ำตาลและความดันโลหิตสูงขึ้น เป็นต้น
ผศ.ดร.จรวยพร กล่าวต่อไปว่า บทบาทของ สวรส. คือการร่วมวางแผน ศึกษาวิจัยการดำเนินนโยบายตลอดจนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากนโยบายประกาศสงครามเบาหวานและความดันเพื่อนำมาพัฒนาประสิทธิภาพและตอบโจทย์ปัญหาระบบสาธารณสุขและสังคม ทั้งการติดตามประเมินผล เช่นการประกาศสงครามโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงไปแล้ว ภายใน 1 ปี
ต้องประเมินได้ว่ากลุ่มป่วยลดลงได้จริงหรือไม่ หรือกลุ่มเสี่ยงก็ไม่ป่วยด้วยโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง

ซึ่งจะเป็นการติดตามจากตัวชี้วัดที่กระทรวงสาธารณสุข ในการดำเนินการรณรงค์ให้ประชาชนรู้ตัวเลข รู้รักษ์สุขภาพหรือ “Know your number Know your risk” คือสามารถรู้ตัวเลขที่บ่งชี้สุขภาพและทราบระดับความเสี่ยงของตนเองเพื่อการควบคุมภาวะเสี่ยงเบาหวาน/ความดันได้แก่ น้ำหนัก ความดันโลหิต รอบเอว และระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งการติดตามตัวชี้วัดเรื่องการลดเค็มลดหวานลง 30% ภายใน 5 ปี

“นอกจากนี้ สวรส. จะพัฒนาหลักสูตรพัฒนาศักยภาพแกนนำด้านสุขภาพ หรือ Chief Health Officerเพื่อให้ผู้บริหารของหน่วยงานทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญและตระหนักถึงปัญหาเพื่อการมีส่วนร่วมในการจัดการเบาหวานและความดัน ตัวอย่างเช่น เมื่อรู้ว่าบุคลากรในองค์กรเป็นกลุ่มเสี่ยงมีภาวะอ้วนลงพุง สูบบุหรี่ ก็จะต้องหามาตรการในการลดพุง ลดการบริโภคหวานมันเค็มหรือมีเครื่องตรวจวัดความดันโลหิตในองค์กร

ซึ่งจะทำให้รู้ว่าความดันตัวเองอยู่ในภาวะใดและจะมีวิธีในการจัดการตนเองอย่างไร เป็นต้นตลอดจนการพัฒนาหลักสูตรการคัดกรองเบาหวาน/ความดันการเพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยเฉพาะการลดการบริโภคน้ำตาลและเกลือโซเดียม

สำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อเป็นคู่มือการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” ผศ.ดร.จรวยพรกล่าวทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับ สวรส. และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรมรณรงค์ “Together FightNCDs ร่วมมือต่อสู้โรค NCDs” ตลอดเดือนพฤศจิกายน โดยเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่านมา มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกิจกรรมวัดรอบเอว วัดความดันโลหิตวัดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ วัดมวลสารในร่างกายและกิจกรรมการแสดงสัญลักษณ์ลดน้ำตาลและเกลือโซเดียมลง 30%โดยรณรงค์ให้ประชาชนลดการบริโภคอาหารเค็ม หวาน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังดังกล่าว