สังคมดี ไม่บูลลี่



คำพูดเปรียบเสมือนดาบสองคม คำพูดที่ดีจะสร้างความรู้สึกที่ดี สร้างพลัง และทัศนคติเชิงบวกให้แก่ผู้ฟัง ในทางกลับกัน คำพูดที่ไม่ดีก็สามารถทำร้ายความรู้สึก บั่นทอนความมั่นใจ สร้างความหวาดกลัว ความเครียด และหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม ซึ่งหากปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด จะก่อให้เกิดผลเสียทางร่างกายและสภาพจิตใจหลายด้าน เช่น โรคซึมเศร้า หรือโรคทางจิตต่างๆ รวมถึงการทำร้ายตนเอง จากสถิติของ World Population Review ประจำปี 2562 พบว่า ประเทศไทย นอกจากจะมีอัตราการรังแกหรือกลั่นแกล้งกันในสถานศึกษาสูงแล้ว ยังเป็นประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงเป็นอันดับที่ 32 ของโลกอีกด้วย

การล้อเลียน หรือ การบูลลี่ (Bullying) คือการกระทำความรุนแรงทางร่างกายหรือจิตใจ ผ่านการใช้กำลังทำร้ายร่างกาย หรือการใช้คำพูดเสียดสี ด่าทอ ถากถาง วิจารณ์เชิงลบ เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดความทุกข์ ความเจ็บปวด หรือสร้างบาดแผลภายในจิตใจให้แก่ผู้ถูกกระทำ หากปล่อยไว้ในระยะยาว อาจส่งผลให้เกิดโรคซึมเศร้า หรือการทำร้ายร่างกายตนเองได้ สามารถเกิดขึ้นทั้งที่ในโรงเรียนและในครอบครัว การกระทำเหล่านี้ บางคนเข้าใจและมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถทำได้ เป็นเรื่องสนุกที่ได้ใช้คำพูดวิจารณ์ ล้อปมด้อย หรือรังแกผู้อื่น โดยขาดการไตร่ตรอง  และไม่ได้ตระหนักคิด ว่าอาจจะสร้างปมในใจให้แก่ผู้ฟัง ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด หรือ BDMS เล็งเห็นถึงปัญหา และไม่เพิกเฉยต่อปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทย โดยได้จัดงานเสวนา Dek Talk by BDMS ในหัวข้อ “Shared Kindness คำพูดสร้างสรรค์ สร้างสังคมน่าอยู่” เพื่อรณรงค์ให้คนไทยหันมาส่งต่อคำพูดที่ดีต่อกันมากขึ้น ณ โรงพยาบาลกรุงเทพ เมื่อตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีแขกรับเชิญและผู้เชี่ยวชาญ อาทิ นายแพทย์กมล แสงทองศรีกมล ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการเด็ก โรงพยาบาลกรุงเทพ แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้อำนวยการศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ และคุณรัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ดารานักแสดง ร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การโดนรังแกหรือได้รับการทำร้ายจิตใจผ่านคำพูด ความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบทางด้านจิตใจ รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา เพื่อสร้างความตระหนักถึงผลเสียของการใช้คำพูดที่ไม่สร้างสรรค์ และใส่ใจคำพูดของตัวเองต่อคนในสังคมมากขึ้น

คุณรัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ดารานักแสดง ได้ร่วมบอกเล่าประสบการณ์การถูกทำร้ายด้วยคำพูดที่ได้ประสบกับตัวเองมา ทั้งก่อนและหลังเข้าวงการ โดยเผยว่า “การมองเห็นความต่างของผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เราไม่ควรมองรูปลักษณ์ หรือเพศสภาพของผู้อื่นเป็นเรื่องตลก เราเชื่อว่า คนที่ได้รับคำพูดแบบนี้เป็นระยะเวลานาน รวมถึงตัวเราเอง ลึกๆ แล้ว ไม่ได้มีความสุขหรือสนุกกับการโดนกระทำแบบนี้เลยแม้แต่น้อย เราไม่ควรผลักให้ผู้ถูกกระทำหาวิธีจัดการความรู้สึกของตัวเอง ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”

“เป็นที่ทราบกันดีว่า มีเด็กถูกรังแกในโรงเรียนเพิ่มมากขึ้นทุกปี ซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจของเด็กเป็นอย่างมาก และทำให้เกิดอารมณ์ซึมเศร้า เครียด วิตกกังวล หวาดกลัว ขาดความมั่นใจในตนเอง ประกอบกับมีอาการทางกายร่วมด้วย เช่น มีความผิดปกติในการกิน การนอน และการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นไม่อยากไปโรงเรียน ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปกครองควรสังเกตุพฤติกรรมของลูกหลาน  หากพบว่าลูกหลานของท่านมีอาการผิดปกติไปจากเดิม แนะนำให้ซักถาม ให้กำลังใจ  ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ สภาพอารมณ์และความรู้สึกของเค้า โดยดูแลอย่างใกล้ชิด และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี” กล่าวโดย นายแพทย์กมล แสงทองศรีกมล ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการเด็ก โรงพยาบาลกรุงเทพ

นอกจากนี้ แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ หรือหมอเบิร์ท ผู้อำนวยการศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ เสริมว่า “นอกจากการรังแกกันในโรงเรียนที่เด็กๆ ต้องพบเจอแล้ว วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ ก็ยังสามารถเผชิญกับปัญหาการโดนทำร้ายจิตใจด้วยคำพูดเชิงลบได้ ตามสถานที่ทำงาน หรือบนโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ง่าย เราอยากให้มองว่าเรื่องนี้ เป็นปัญหาที่ทุกคนควรใส่ใจและให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนรอบข้างและคนในสังคมมากขึ้น เริ่มต้นจากคำพูดของตัวเรา สู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในสังคมไทย”

เพื่อเน้นย้ำถึงเจตนารมณ์ในการสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่ โครงการ “Shared Kindness – คำพูดสร้างสรรค์ สร้างสังคมน่าอยู่” จึงเป็นอีกหนึ่งโครงการของ BDMS ในการส่งต่อความรู้สึกที่ดีให้ผู้อื่น หยุดการทำร้ายจิตใจผ่านคำพูด เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยให้น่าอยู่และพัฒนาได้อย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดโครงการ “Shared Kindness – คำพูดสร้างสรรค์ สร้างสังคมน่าอยู่” และโครงการเพื่อสังคมอื่นๆ ของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ได้ที่ www.bdms.co.th/th/our-community/

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ