นายกฯ มั่นใจศักยภาพไทย ดึงปชช. ขรก.ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ

วันนี้ (16 กันยายน 2562) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาบุคลากรภาครัฐ “ยุทธศาสตร์ชาติภาคปฏิบัติ : ร่วมขยับขับเคลื่อนภาครัฐ เพื่อประชาชน (National Strategy in Action: Integrated Implementation for THAIS)” และกล่าวปาฐกถาพิเศษ ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม  อาคารอิมแพคฟอรั่ม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี  และข้าราชการประมาณ 1,000 คน เข้าร่วมงาน โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ความว่า
 
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้มาร่วมในพิธีเปิดการสัมมนาบุคลากรภาครัฐ “ยุทธศาสตร์ชาติภาคปฏิบัติ : ร่วมขยับขับเคลื่อนภาครัฐ เพื่อประชาชน” เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าภายใต้วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” โดย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” รัฐบาลได้จัดทำยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี หลักสำคัญคือบูรณาการทำงานร่วมกัน ซึ่งถือว่า “ข้าราชการ” ทุกประเภทและระดับตำแหน่ง รวมทั้งข้าราชการในส่วนกลาง ภูมิภาคและท้องถิ่น ต้องร่วมกันทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนเพื่อประโยชน์ของประชาชน
 
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า หลักสูตรการพัฒนานักบริหารของส่วนราชการภายใต้กรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) นี้ ได้เสนอแนะให้มีการจัดหลักสูตรเพื่อให้ผู้นำภาคราชการร่วมกันปฏิรูปประเทศ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ และสร้างความสามัคคีปรองดอง รวมทั้งสร้างความร่วมมือในภาครัฐด้วยกันเอง ตลอดจนส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น ในวันนี้ได้รับฟังการนำเสนอตัวอย่างการทำงานของข้าราชการตามบทบาทหน้าที่เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ  ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากคนหลายกลุ่มและหลายระดับในองค์กรที่จะเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน กลุ่มแรก คือหัวหน้าทีมงานที่เข้าอบรมหลักสูตร ป.ย.ป. 1 และ ป.ย.ป. 2 กลุ่มคนรุ่น Gen Y หรือที่เรียกว่า New Wave กลุ่มข้าราชการพันธุ์ใหม่ ข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูง (HiPPs) และกลุ่มนักเรียนทุนรัฐบาล ข้าราชการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจะต้องร่วมกันใช้ความรู้และประสบการณ์เพื่อลงไปพัฒนาท้องถิ่น เป็นเสมือนผู้ที่เชื่อมต่อนโยบายจากส่วนกลางลงสู่การดำเนินโครงการจริง ที่สำคัญคือคุณค่าของการทำงานเพื่อรับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง
 
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพด้านการเกษตร ซึ่งต้องมีการพัฒนาต่อไปทั้งเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ ขับเคลื่อนเกษตรแบบชีวภาพ ด้วยเทคโนโลยี BCG รวมทั้งการเชื่อมโยงสินค้าเกษตรกับการผลิตด้านไฟฟ้าพลังงาน เช่น การนำน้ำปาล์มผลิตน้ำมัน B20  การผลิตกระแสไฟฟ้าจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เป็นต้น และการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับ 5 พืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และอ้อย เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในด้านราคาสินค้าการเกษตรที่มีความผันผวนตลอดเวลา ทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างยั่งยืน
 
การบริหารจัดการน้ำนั้นรัฐบาลดูแลครอบคลุมทั้งการจัดกักเก็บน้ำ การระบายน้ำ ช่องทางระบายน้ำ การจัดทำแก้มลิงชั่วคราวหรือการทำแก้มลิงถาวร โดยต้องหาความร่วมมือกับประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งการปรับเปลี่ยนอาชีพในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ใช้เงินเยียวยาลดน้อยลง นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินป่าไม้

 
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลห่วงใยพี่น้องประชาชนทุกคน พร้อมให้การช่วยเหลือ แต่ขอให้เข้าใจว่า ทุกอย่างต้องดำเนินการภายใต้กรอบระเบียบ กฎกติกา กฎหมาย ที่ผ่านมาประเทศไทยขาดแคลนข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big data สาเหตุอาจมาจากการจัดเก็บข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ รวมถึงขาดความร่วมมือกับประชาชน  ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะการปลูกฝังอุดมการณ์จิตสำนึกที่ดีตั้งแต่เด็ก การส่งเสริมการเคารพกฎหมายและการรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น
 
สำหรับการบริหารภาครัฐนั้น อาจพิจารณาให้มีการว่าจ้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านแบบครั้งคราว หรือตามการบรรจุข้าราชการ แบ่งเป็นสองส่วนทั้งทดแทนข้าราชการเกษียณและเพิ่มกลุ่มคนมีความสามารถเฉพาะหน้าที่ รวมทั้งการพิจารณาการให้ทุนการศึกษา การอบรมเฉพาะทางโดยต้องระวังไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ แต่ขอเน้นให้เป็นสร้างโอกาสที่เท่าเทียม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม  การทำหน้าที่ของข้าราชการจะต้องดึงประชนเข้ามามีส่วนร่วม ร่วมกันคิดทำไปพร้อมกัน ทั้งประชาชนข้าราชการ และรัฐบาล เพราะโลกเปลี่ยนเราต้องปรับเพื่อเข้าสู่ศตวรรษ 21 ทั้งนี้รัฐบาลฟังทุกความคิดเห็นและปรับการทำงานทุกวัน ซึ่งประชาชนก็ต้องร่วมปรับตัวไปด้วยกัน สำหรับการทำงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตนตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยถืออัตตา พร้อมรับฟังความคิดเห็นเพราะทุกคนต้องร่วมกันทำงานกับรัฐบาล  ทุกคนต้องรักประเทศชาติ ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนประเทศด้วยตัวเราเอง
 
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเป้าหมายสำคัญในการสร้างความปรองดอง ซึ่งแนวทางการพัฒนาแบบบูรณาการ เชื่อมโยงข้าราชการตั้งแต่รุ่นใหญ่ รุ่นกลาง รุ่นน้อง ทั้งส่วนกลาง ส่วนท้องถิ่น และส่วนภูมิภาคมาทำงานร่วมกันแล้ว ยังถือเป็นโอกาสในการสร้างความรับรู้ ความเข้าใจให้ข้าราชการและประชาชนเดินไปด้วยกัน
 
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินชมนิทรรศการเกี่ยวกับการพัฒนากลุ่มกำลังคนคุณภาพ ในระบบราชการภายใต้แนวคิด ป.ย.ป. คือ ปฏิรูป ยุทธศาสตร์ชาติ ปรองดอง เพื่อเสริมสร้างข้าราชการไทยให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยี สำหรับประเทศไทย 4.0