ไร้ประสิทธิภาพ ตัดงบศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ทั้งโครงการ

 

“ปกรณ์วุฒิ” อภิปรายงบกระทรวงดิจิทัลฯ ขอตัดงบ “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม” ทั้งโครงการ 69 ล้านบาท เหตุไร้ประสิทธิภาพ-ไร้ความเป็นกลาง

พบหลายกรณีตรวจสอบแล้วเป็นข่าวจริง แต่ไม่เผยแพร่เพราะ “ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล” ชี้เปลี่ยนรัฐบาลแล้วแต่ศูนย์ฯ ยังถูกใช้เป็นแค่เครื่องมือในการผูกขาด-ปกปิดความจริง

(21 มีนาคม 2567)ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567

นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายขอสงวนคำแปรญัตติในมาตรา 16 (งบประมาณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ในส่วนของโครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม หรือ “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม” โดยขอตัดงบประมาณทั้งโครงการจำนวน 69.57 ล้านบาท

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมในเดือนกันยายน 2566 ที่เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ของศูนย์ฯ ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมคนใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว

ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้รับข้อมูลสำหรับการตรวจสอบทั้งหมด 5.47 ล้านข้อความ โดยส่วนใหญ่ได้มาจากการใช้เครื่องมือกวาดข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

และมีบางส่วนได้มาจากการรับเรื่องร้องเรียนของประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ ของศูนย์ฯ เช่น เฟซบุ๊กและไลน์

จาก 5.47 ล้านข้อความ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้คัดกรองจนเหลือจำนวนเรื่องที่เข้าเกณฑ์การตรวจสอบทั้งสิ้น 539 เรื่อง จากนั้นจึงส่งเรื่องไปยังหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง

ซึ่งสุดท้ายได้รับการตรวจสอบกลับมา 356 เรื่อง แต่สามารถ “เผยแพร่ได้” เพียง 235 เรื่องเท่านั้น

โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแบ่งข้อมูลที่ตรวจสอบได้แต่ไม่ได้เผยแพร่ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) หน่วยงานไม่สามารถชี้แจงได้ 2) หน่วยงานปฏิเสธการตอบกลับ และ 3) หน่วยงานไม่ประสงค์เผยแพร่

สำหรับกลุ่มที่ 1) และกลุ่มที่ 2) มีความคล้ายคลึงกัน ตัวอย่างเช่น ข่าวที่ปรากฏออกมาว่าบริษัทที่รับงานจาก กสทช.มีลักษณะเป็นบ้านทาวน์เฮาส์และไม่มีเว็บไซต์ของบริษัท ศูนย์ฯ ส่งข้อมูลไปตรวจสอบที่ กสทช. และ กสทช.ได้ตอบกลับมาว่า “ไม่สามารถชี้แจงได้” โดยไม่ระบุเหตุผล แล้วศูนย์ฯ ก็ไม่คิดที่จะติดตามถามซ้ำกลับไปอีกรอบ

ตัวอย่างที่สองคือ ข่าวที่ปรากฏออกมาว่าผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในเดือนกันยายนนี้เตรียมรับเงินสูงสุด 1,900 บาท สามารถกดเป็นเงินสดได้ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมส่งข้อมูลไปสอบถามกลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง แต่หน่วยงานปฏิเสธการตอบกลับ โดยแจ้งว่า “เพื่อความชัดเจนและถูกต้องรบกวนสอบถามกระทรวงการคลัง” กลายเป็นว่ากระทรวงการคลังบอกให้ไปถามกระทรวงการคลัง แล้วศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมก็ปิดเคสไปเลย สมชื่อโครงการ “ศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม” คือแค่ประสานงาน แต่ไม่ติดตาม ไม่ทวงถาม ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ข่าวที่ว่า ครม.มีมติขยายการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่ชายแดนใต้อีกหนึ่งเดือน ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบไปยังกรมประชาสัมพันธ์ และได้รับคำตอบว่าไม่สามารถชี้แจงได้เพราะไม่มีข้อมูล

แต่ในกรณีนี้ข้อเท็จจริงคือเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2566 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ว่ามีการประกาศขยายเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อีกหนึ่งเดือนจริง เป็นข่าวที่หาได้ทั่วไป แต่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมกลับไม่สามารถตรวจสอบได้

นายปกรณ์วุฒิ อภิปรายต่อไปว่า ตนสงสัยมาตลอด 4 ปีว่าทำไมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมถึงเลือกที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยงานราชการเท่านั้น ทั้งที่บางเรื่องก็เป็นข้อมูลที่หาได้ทั่วไป แต่ก็สิ้นสงสัยหลังจากได้ดูเนื้อหากลุ่มที่ 3) คือข่าวที่หน่วยงานไม่ประสงค์เผยแพร่  

ตามหลักสากล หลักการที่สำคัญที่สุดขององค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงก็คือความเป็นกลางและความเป็นอิสระ ซึ่งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมก็ย้ำมาตลอดว่าตัวเองตรวจสอบอย่างเป็นกลางและเป็นอิสระ

แต่เมื่อลองมาดูตัวอย่างข่าวที่หน่วยงานไม่ประสงค์เผยแพร่สักสองตัวอย่าง ก็จะเห็นว่าศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมไม่ได้มีความเป็นอิสระจริง แต่เป็นเพียงเครื่องมือของรัฐบาลเท่านั้น

ตัวอย่างแรก จากข่าวที่ปรากฏออกมาว่า ครม.อนุมัติแผนบริหารหนี้สาธารณะปี 2567 ก่อหนี้ใหม่ 1.94 แสนล้านบาทจริงหรือไม่ เมื่อศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมตรวจสอบไปที่กรมประชาสัมพันธ์กลับได้รับคำชี้แจงว่าข้อมูลดังกล่าวเป็น “ข่าวจริง” แต่ไม่ประสงค์เผยแพร่เพราะ “ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล”

ตัวอย่างถัดไป จากข่าวที่ว่าทำเนียบรัฐบาลใช้งบประมาณในการจัดซื้อยางรถยนต์ 8 เส้น ราคา 3.4 ล้านบาท กรมประชาสัมพันธ์ก็บอกว่าข้อมูลดังกล่าวเป็น “ข่าวจริง” แต่ไม่ประสงค์เผยแพร่เพราะ “ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล” อีกเช่นกัน

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า สิ่งนี้ทำให้ตนหายสงสัย ว่าทำไมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมถึงตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานราชการเท่านั้น เพราะตลอดเวลาตั้งแต่ตั้งศูนย์แห่งนี้ขึ้นมา การส่งเรื่องไปให้หน่วยงานราชการไม่ใช่การขอให้ตรวจสอบ แต่มันคือการขออนุญาตว่าหน่วยงานราชการจะยอมให้เผยแพร่หรือไม่ หน่วยงานว่าอย่างไรศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมก็มีหน้าที่แค่ทำไปตามนั้น

“นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าตลอด 4 ปี 5 เดือนตั้งแต่ก่อตั้งมา ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมไม่เคยมีความเป็นกลาง ไม่เคยมีความเป็นอิสระ เป็นแค่เครื่องมือของรัฐในการผูกขาดความจริงแบบที่รัฐอยากให้ประชาชนรู้ และปกปิดความจริงที่รัฐไม่อยากให้ประชาชนเห็นเท่านั้น และผมยืนยันว่าโครงการแบบนี้ไม่ควรได้รับงบประมาณจากภาษีประชาชนแม้แต่บาทเดียว”