แนะเดินหน้าพิสูจน์สิทธิ์ ”หนองวัวซอโมเดล”

(30 พฤศจิกายน 2566)ที่บ้านหนองแวงยาว ต.หนองวัวซอ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร

พร้อมด้วย นายอภิชาติ ศิริสุนทร สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคก้าวไกล ประธานคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร

ร่วมวงพูดคุยรับฟังปัญหาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการผลักดันโครงการ “หนองวัวซอโมเดล”

ซึ่งเป็นต้นแบบของโครงการส่งมอบที่ดินของกองทัพให้ประชาชน ที่ดำเนินการโดยกองทัพ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มาบุกรุกที่ดินกองทัพโดยผิดกฎหมายให้มีสิทธิทำกินโดยไม่ต้องอยู่ในสถานะบุกรุก

อย่างไรก็ตาม ในกรณีหนองวัวซอโมเดล ประชาชนที่ถูกให้เข้าร่วมโครงการยืนยันว่าพวกตนเป็นผู้อยู่อาศัยและทำกินมาก่อนกองทัพเข้าใช้พื้นที่เป็นสถานที่ซ้อมยิงปืนใหญ่หลายชั่วอายุคนแล้ว

และเรียกร้องให้มีการพิสูจน์สิทธิ์เพื่อความเป็นธรรม แทนที่การผลักดันโครงการหนองวัวซอโมเดลให้พวกตนต้องเป็นผู้เช่าที่ดินที่ควรจะเป็นของพวกตนโดยชอบธรรม

ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เดินทางมารับฟังปัญหานี้ก่อนแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนแนะนำให้ประชาชนรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อยื่นให้กับประธานคณะกรรมาธิการทั้ง 2 คณะ ดำเนินการในสภาต่อไป

ตัวแทนประชาชนหลายราย ได้ให้ข้อมูลยืนยันว่าพวกตนไม่ใช่ผู้บุกรุกแน่นอน เพราะอยู่มา 3-4 ชั่วอายุคนแล้ว

แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีกระบวนการพิสูจน์หรือตรวจสอบเอกสารสิทธิ์

และก่อนหน้านี้ยังมีการมาหลอกยึดเอาเอกสารสิทธิ์ของประชาชนไปหลายครั้งโดยอ้างว่าจะเอาไปทำให้ใหม่ แต่ก็ไม่เคยนำมาคืนให้

ส่วนโครงการหนองวัวซอโมเดล ประชาชนระบุว่ามีการมาทำให้เข้าใจผิดว่าจะเป็นการพิสูจน์สิทธิ์เพื่อออกโฉนดให้ มีการเอาเอกสารมาให้ประชาชนลงชื่อ อ้างว่าถ้าไม่เซ็นจะเสียสิทธิในการพิสูจน์สิทธิ์ จนมาทราบทีหลังว่าเป็นการเซ็นยอมรับที่จะเป็นผู้เช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์ ซึ่งประชาชนไม่เห็นด้วยและไม่สามารถยอมรับได้

นายวิโรจน์ ระบุว่าก่อนมารับฟังข้อเท็จจริงจากประชาชนตนได้พูดคุยกับกรมธนารักษ์มาแล้วครั้งหนึ่งในเวทีกรรมาธิการ กรมธนารักษ์อ้างว่าได้มาลงพื้นที่ด้วยตัวเองแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยและยินยอมลงนามรับหนังสือสัญญาเช่า

แต่จากการได้มาพบประชาชนวันนี้ ได้ข้อเท็จจริงในอีกทางหนึ่ง ว่าประชาชนไม่ได้เข้าใจอย่างที่กรมธนารักษ์ชี้แจง

ดังนั้น เท่ากับว่าข้อเท็จจริงที่กรมธนารักษ์ชี้แจงต่อกรรมาธิการกับสิ่งที่ตนได้ฟังจากประชาชนวันนี้ไม่ตรงกัน และเป็นที่ชัดเจนว่าแนวทางที่ดีที่สุดวันนี้คือการเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ ซึ่งใครที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ รู้อยู่แล้วว่ามาทีหลัง ตนแนะนำว่าให้เดินหน้าสู่กระบวนการเช่าไป

แต่กรณีที่อยู่มาก่อน มีพยานหลักฐาน มีเอกสารสิทธิ์ ควรต้องเดินเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์เพื่อความถูกต้อง

ทั้งนี้ ตนขอแนะนำให้ประชาชนส่งตัวแทนกลุ่มหนึ่งไปติดต่อกรมธนารักษ์เพื่อขอถอนความประสงค์และนำชื่อออกจากโครงการ ส่วนตนจะใช้เวที กมธ.การทหาร เพื่อเชิญทั้งกรมธนารักษ์ มลฑลทหารบกที่ 24 และตัวแทนประชาชน ให้มาร่วมกันหารือ

โดยประเด็นสำคัญคือจะต้องมีการขอถอนชื่อออกจากสัญญาก่อน และการเดินหน้าเพื่อนำไปสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ต่อไป

นายอภิชาติ ระบุว่าจากการสืบค้นข้อมูลเบื้องต้น พื้นที่แห่งนี้เดิมมีการระบุให้เป็นเพียงที่รกร้าง มีการจำแนกในปี 2504 เมื่อกองทัพมาขอใช้ และเพิ่งเป็นของธนารักษ์ตามมติ ครม. เมื่อปี 2509 และเมื่อหน่วยงานราชการตรวจสอบสภาพสถานะก่อนหน้านั้น ก็ไม่มีกฎหมายอื่นใดที่เกี่ยวข้องนอกจาก พ.ร.บ.ที่ดินหวงห้าม 2478

ขณะที่ประวัติศาสตร์การตั้งหมู่บ้านตั้งอย่างเป็นทางการ มีบันทึกตั้งแต่ปี 2468

ดังนั้น เมื่อไล่เรียงไทม์ไลน์ได้เป็นเช่นนี้ ว่าประชาชนมีการตั้งรกรากมาก่อน พ.ร.บ.สงวนหวงห้ามที่ดิน 2478 ก็สามารถสันนิษฐานได้ว่าประชาชนอยู่มานานแล้วจริง แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์เกิดขึ้นมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นอับดับแรกคือการนำไปสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ นี่คือแนวทางหนึ่งที่สามารถทำได้ ส่วนอีกแนวทางหนึ่ง หากเกิดการพิสูจน์สิทธิ์แล้ว มีผู้ที่ไม่สามารถพิสูจน์สิทธิ์ไปถึงขั้นได้รับกรรมสิทธิ์ได้ ประชาชนอาจร่วมกันขอให้รัฐมีนโยบายให้ราชพัสดุยกที่ให้ ส.ป.ก. เพื่อจัดรูปที่ดินได้หรือไม่

“เราไม่คัดค้านโมเดลในการจัดสรรที่ดินกองทัพให้ประชาขน แต่ต้องเป็นโมเดลที่ยกระดับสิทธิให้พี่น้องได้จริง ไม่ใช่ลิดรอนสิทธิ ก่อนที่มันจะกลายเป็นโมเดลที่ไม่ถูกต้อง โมเดลต้องเป็นสิ่งที่ให้สิทธิที่ดีกว่าสำหรับประชาชน แก้ปัญหาของประชาชนได้อย่างตรงจุด”