ตัวชี้วัดรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย อยู่ที่การแก้ปัญหาสายสีเขียว,สายสีส้ม

 

(17 ตุลาคม 66) นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อกรณีมติคณะรัฐมนตรีปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วง จาก 14-42 บาท เป็น 14-20 บาท และสายสีแดงจาก 12-42 บาท เป็น 12-20 บาท

นายสุรเชษฐ์ ระบุว่า การปรับลดดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องใหม่และยังไม่ใช่ข้อบ่งชี้ว่านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ตามที่รัฐบาลเคยหาเสียง ดำเนินการสำเร็จแล้ว

เพราะตัวชี้วัดที่แท้จริงอยู่ที่รถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีส้ม

ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการขาดทุนของทั้ง 2 สายที่ขาดทุนอยู่แล้ว ให้ขาดทุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณปีละ 267 ล้านบาท แต่ก็ถือว่าไม่มาก เนื่องจาก 2 สายนี้ไม่ค่อยมีผู้ใช้บริการ

นายสุรเชษฐ์ อธิบายต่อไป ว่าการลดราคาค่าโดยสารใน 2 สายนี้สามารถทำได้ง่ายเพราะเป็นของรัฐ และก็เคยมีการลดค่าโดยสารแบบนี้มาแล้ว

โดยสายสีม่วงเคยลดราคาให้เหลือสูงสุดไม่เกิน 20 บาทในช่วงวันที่ 25 ธันวาคม 2562 - 31 มกราคม 2564

และสายสีแดงเคยให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในช่วงเดือนกรกฎาคม - 28 พฤศจิกายน 2564 แต่ก็ไม่ได้ทำให้มีผู้มาใช้บริการเพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากปัญหาหลักอยู่ที่การเข้าถึงสถานี

 ซึ่งประชาชนเดินทางมาเชื่อมต่อกับสถานีได้ยากลำบากและแพงมาก  

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยคาดหวังจากการดำเนินนโยบาย 20 บาทตลอดสาย คือการนำมาใช้กับสายสีเขียวและสายสีน้ำเงิน เพราะมีผู้ใช้บริการจำนวนมากที่สุด

รวมถึงการทำให้เป็นระบบ “ค่าโดยสารร่วม” กรณีเดินทางข้ามสายและข้ามบริษัทผู้ให้บริการ เช่น ขึ้นสายสีเขียวแล้วไปต่อสายสีน้ำเงิน ให้ค่าโดยสารร่วมสูงสุดไม่เกิน 20 บาทตลอดเส้นทาง

ซึ่งในประเด็นนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเคยกล่าวเอาไว้ว่าขอเวลา 2 ปีจะดำเนินการให้แล้วเสร็จตามที่หาเสียงไว้

นายสุรเชษฐ์ ยังกล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญที่สังคมควรจับตาคือกรณีสายสีเขียวและสายสีส้ม ซึ่งมีความพัวพันกับผลประโยชน์มหาศาลและเป็นปัญหาที่ค้างคามายาวนาน ดังที่ตนเคยได้อภิปรายไปเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566

เพราะ 2 สายนี้คือแกนหลัก สายสีเขียวในแนวเหนือ-ใต้ และสายสีส้มในแนวตะวันตก-ตะวันออก ที่รถไฟฟ้าแทบทุกสายต้องไปเชื่อมต่อ

“ตัวชี้วัดความสำเร็จของนโยบาย 20 บาทตลอดสายจึงอยู่ที่การแก้ปัญหาสายสีเขียวและสายสีส้ม ว่าจะเจรจากำหนดโครงสร้างค่าโดยสารร่วม 20 บาทตลอดทางได้จริงตามที่หาเสียงไว้หรือไม่”