มาตรฐานเดียวกับ ‘รัฐบาลประยุทธ์’ .. ไร้เป้าหมาย - ไร้ตัวชี้วัด

 

‘ศิริกัญญา’ ชี้ แถลงนโยบายรัฐบาลเศรษฐา ว่างเปล่า-ไร้เป้าหมาย-ไร้ตัวชี้วัด ตัดทอนรายละเอียดสำคัญไม่ตรงปกนโยบายหาเสียง

ติง ‘เศรษฐา’ ครั้งเป็นซีอีโอแถลงเป้าหมายบริษัทด้วยมาตรฐานระดับโลก แต่แถลงนโยบายรัฐบาลด้วยมาตรฐานเดียวกับรัฐบาลประยุทธ์

นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นสมาชิกคนแรกที่ขึ้นอภิปรายการแถลงนโยบายในวันนี้

โดยกล่าวถึงนโยบายทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยระบุว่าคำแถลงนโยบายที่ดีต้องบอกเป้าหมายว่ารัฐบาลใน 4 ปีนี้จะเดินทางไปด้วยเส้นทางไหน ด้วยวิธีการใด และจะไปถึงเป้าหมายเมื่อไหร่

ซึ่งคำแถลงนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ไม่แตกต่างไปจากเอกสารที่ออกมาก่อนหน้า ไม่ได้บอกอะไร มีแต่คำพูดกว้างๆ ไม่มีตัวชี้วัดและมีแต่คำขยายเต็มไปหมด ถ้าบอกว่านี่คือจีพีเอส ประเทศก็คงหลงทาง ว่างเปล่า และเบาหวิว

พรรคการเมืองไหนก็ตามที่คิดกลับคำ ไม่ยอมระบุนโยบายที่หาเสียงไว้ในการแถลงนโยบายเมื่อได้เป็นรัฐบาล โดยปราศจากเหตุผลที่รับฟังได้ พรรคการเมืองนั้นก็ย่อมคือผู้ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน

คำแถลงของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ตนขอให้อยู่ในเกรดเดียวกับรัฐบาลประยุทธ์ ที่น่าผิดหวังคือพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาตรฐานตกจากสมัย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีเป้าหมายชัด มีนโยบายที่หาเสียงบรรจุไว้ตรงเกือบทั้งหมด มีกรอบเวลาตั้งแต่ช่วง 1 - 4 ปี

การแถลงนโยบายที่ดี สิ่งแรกที่ควรจะมีคือเป้าหมายที่ชัดเจน ตัวชี้วัดที่วัดผลได้ มีกรอบเวลาชัดเจน ไม่ใช่แค่บอกว่าอยากให้ประเทศเป็นแบบนั้นแบบนี้แต่ไม่มีตัวชี้วัดว่าประเทศไทยบรรลุเป้าหมายนั้นหรือยัง ไม่ใช่การเขียนแบบพูดอีกก็ถูกอีก เหมือนพูดว่า “น้ำเป็นของเหลว”

ต่อมา คำแถลงนโยบายต้องมีคำอธิบายแต่ละนโยบายที่ชัดเจนให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังจะทำอะไร ไม่ใช่เหมือนเป็นแค่คำอธิษฐานหรือ wish list ที่สำคัญ การหาเสียงเลือกตั้งต้องเป็นสัญญาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้รับเลือกมาแล้วก็ต้องทำตามสัญญา ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งก็ไร้ความหมาย

สุดท้ายต้องกำหนดกรอบเวลาในการดำเนินการให้ชัดเจน ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีรายละเอียดชัดเจน ตรงกับนโยบายที่ได้สัญญาไว้ กรอบเวลาก็ชัดมาก แต่ในรัฐบาลปัจจุบัน ก็ไม่เข้าใจว่ามาจากพรรคเดียวกันหรือไม่ เพราะไม่มีทั้งรายละเอียด ไม่มีการกำหนดเป้า ไม่มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน

“คุณเศรษฐาแถลงเป้าหมายของบริษัทแสนสิริด้วยมาตรฐานการแถลงเป้าหมายของบริษัทระดับโลก มีเป้าหมาย กรอบระยะเวลา ตัวชี้วัดที่ชัดเจน แต่พอมาเป็นนายกรัฐมนตรี คุณเศรษฐากลับแถลงเป้าหมายของรัฐบาลเพื่อไทยด้วยมาตรฐานเดียวกันกับรัฐบาลประยุทธ์ คือเลื่อนลอย ไม่ยอมสัญญาอะไรที่เป็นรูปธรรมทั้งนั้น” ศิริกัญญากล่าว

แต่ที่สำคัญ คือนโยบายตามที่หาเสียงเอาไว้ของพรรคเพื่อไทย เมื่อเทียบกับสิ่งที่อยู่ในเล่มแถลงนโยบาย พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคำพูดไปอย่างชัดเจน จากที่มีตัวเลขเป้าหมายก็กลายเป็นนามธรรม จากที่มีตัวเลขระยะเวลาก็ตัดทิ้งไป

การแถลงนี้ ยังเป็นการแถลงที่ปราศจากความทะเยอทะยานที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆ หลับตาข้างหนึ่งแล้วก้าวข้ามความขัดแย้งเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง สามจังหวัดชายแดนใต้ การลดความเหลื่อมล้ำ ไม่กล้าแตะเรื่องยากที่ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ ทั้งที่ตอนหาเสียงท่านกล้าหาญกว่านี้มาก คล้ายกับตอน พล.อ.ประยุทธ์แถลง ซึ่งตนคิดว่าเป็นเพราะสองเหตุผล กล่าวคือ

1) รัฐบาลกลัวการผูกมัด กลัวทำไม่ได้อย่างที่สัญญา หรือมองว่าบางนโยบายไม่สามารถทำได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรหาเสียงกับประชาชนไว้แบบนั้นแต่แรก

และ 2) การเป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้วที่นโยบายเป็นคนละขั้ว ซึ่งสุดท้ายหาข้อตกลงไม่ได้จึงต้องเขียนให้ลอยและกว้างไว้ก่อน แถมที่มาของอำนาจต้องเกรงใจกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มทุน จึงไม่กล้าทำเรื่องยากที่ต้องปะทะกับใครเลย

ส่วนในด้านเนื้อหานั้น มีการแบ่งเป็นตามกรอบระยะสั้น และระยะกลางและยาว โดยในกรอบระยะสั้นมี 6 เรื่อง แต่ยังขาดเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยแล้ง pm2.5 ความขัดแย้งทางการเมือง และชายแดนใต้ เรื่องเหล่านี้ไม่เร่งด่วนอีกต่อไปแล้วเช่นนั้นหรือ?

ส่วนในระยะกลางและระยะยาว เมื่อไล่ดูนโยบายที่บรรจุไว้เหลือแค่ 3 เรื่อง ที่ตนอยากเน้นเป็นพิเศษคือการลดความเหลื่อมล้ำ ที่ถูกลดทอนเหลือแค่ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา ทั้งที่ก่อนเข้าทำงานการเมือง นายกรัฐมนตรีเคยให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำ มีความคิดที่ตนสนับสนุนเห็นด้วยหลายประการ แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นอยู่ในคำแถลงนโยบายแล้ว จึงอยากถามว่านายกรัฐมนตรียังคิดอยู่แบบเดิมหรือไม่ จุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทยยังคงเดิมอยู่หรือไม่

ต่อมา ตนขอกล่าวถึงแหล่งรายได้และที่มางบประมาณ โดยเฉพาะต่อนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 5.6 แสนล้านบาท ไม่ว่าจะออกแบบให้เป็นแบบใด รัฐบาลจำเป็นต้องมีเงินสดกองไว้เต็มจำนวน เพื่อรับประกันว่า 1 บาทในโลกจริงจะเท่า 1 บาทดิจิทัล ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าแหล่งที่มาของเงินน่าเชื่อถือหรือไม่ หากทำไม่ได้ก็จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของร้านค้า และอาจเกิดเป็นเงินเฟ้อในโลกดิจิทัลขึ้นได้

การจะมีเงินสดกองไว้เต็มจำนวน 5.6 แสนล้านบาท มีอยู่สองทางเลือกเท่านั้น คือ 1) การใช้งบประมาณแผ่นดิน หรือ 2) เงินนอกงบประมาณ ซึ่งปัญหาของการใช้งบประมาณแผ่นดินปี 2567 จะไม่พออย่างแน่นอน เพราะงบประมาณ 3.35 ล้านล้านบาท มีหลายค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถตัดทอนได้ เช่น งบประมาณชำระหนี้ ดอกเบี้ย เงินคงคลัง เงินอุดหนุนท้องถิ่น สวัสดิการตามกฎหมาย เหลือใช้จ่ายได้จริงๆ ก็แค่ราว 4 แสนล้านบาท ซึ่งไม่สามารถเอามาลงในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้ทั้งหมด

หรือหากจะใช้ดุลเงินสดของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ก็ต้องลดรายจ่ายจาก 1.2 ล้านล้านให้เหลือครึ่งหนึ่ง คุมเงินนอกงบประมาณให้สมดุล ซึ่งเงินสดก็ยังคงจะไม่พออยู่ดี จะมีการกู้ชดเชยขาดดุลล่วงหน้ามาใช้กับโครงการนี้หรือไม่ ซึ่งหากทำเช่นนั้นก็จะเกิดค่าเสียโอกาสคือค่าดอกเบี้ย หากทำแบบนี้ก็จะสุ่มเสี่ยงว่านอกจากงบประมาณจะไม่พอแล้ว เงินสดก็จะไม่พอด้วย

ส่วนการใช้เงินนอกงบประมาณ ก็ไม่สามารถใช้ได้ถ้าไม่แก้กรอบวินัยการเงินการคลัง หรือหากจะยืมเงินกองทุนหมุนเวียนมาใช้ ก็มีสองอยู่กองเท่านั้นคือกองทุนของผู้ประกันตนหรือข้าราชการบำนาญ ซึ่งก็ไม่สมควรที่จะทำ หรือสุดท้ายหากจะกู้ธนาคารรัฐ ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีกรอบอยู่ที่ไม่เกิน 32% ของรายจ่ายงบประมาณประจำปี ซึ่งวันนี้กำลังจะถึงจุดนั้นแล้ว หากจะกู้จริงก็ต้องแก้ ม.28 ของกรอบนโยบายการเงินการคลัง ซึ่งก็จะไม่สง่างามเท่าไหร่

สุดท้ายนี้ ความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องพึงระวังและไม่ได้อยู่ในคำแถลงนโยบาย คือการกระตุ้นเศรษฐกิจสมควรทำ แต่การวินิจฉัยโรคไม่ถูกก็อาจจะนำไปสู่การรักษาที่ไม่ถูกต้อง เศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ถ้าโตเฉพาะส่วนบน การลดความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรมต้องจัดการระบบภาษีไปพร้อมกัน วิธีคิดนโยบายที่มีแต่การโยกกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา แต่หลีกเลี่ยงการแก้ปัญหาที่ต้นตอ เช่น กลุ่มทุนที่สามารถมีอำนาจเหนือตลาดและผูกขาด ย่อมไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน

วันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว ไทยเปลี่ยนไปแล้ว ระดับหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เงินเฟ้อกำลังสูงทั่วโลก ส่งออกก็ไม่รุ่ง ตลาดก็กระจุกตัวขึ้น รัฐบาลจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร

“ดิจิทัลวอลเล็ตย่อมสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้แน่นอน แต่มันไม่เพียงพอให้เกษตรกรขุดแหล่งน้ำบรรเทาภัยแล้ง ไม่สามารถทำให้เกษตรกรได้เอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน ไม่สามารถช่วยผู้ส่งออกให้ส่งออกเพิ่มหรือไม่ตัดโอทีในโรงงานได้ จึงขอให้รัฐบาลจัดลำดับความสำคัญให้ดี จะเทหมดหน้าตักแล้วหวังน้ำบ่อหน้าไม่ได้ แต่ข้อดีของการแถลงกว้างๆ แบบนี้ คือท่านยังมีโอกาสได้แก้ไขในการแถลงงบประมาณ เพื่อส่งมอบนโยบายอะไรบ้างใน 1 ปีข้างหน้าจากนี้” ศิริกัญญากล่าว