พาณิชย์ รุกหน้าวางกิจกรรมเจาะตลาดอินเดีย ใน 7 รัฐสำคัญ

นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ด้วยอินเดียเป็นตลาดขนาดใหญ่ ประชากรจำนวนมากและมีความหลากหลายแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ มีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน และขนาดพื้นที่กว่า 3.2 ล้านตารางกิโลเมตร จัดเป็นประเทศที่มีพื้นที่มากเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยมีการแบ่งการปกครองออกเป็น 29 รัฐ และ 7 Union Territories กระทรวงพาณิชย์จึงกำหนดยุทธศาสตร์เจาะตลาดอินเดียรายรัฐ โดยเน้นรัฐเป้าหมายสำคัญ 7 รัฐ ประกอบด้วย


- รัฐมหาราษฎระ มีมหานครมุมไบเป็นเมืองหลวงของรัฐ และเป็นเมืองท่าธุรกิจที่สำคัญของอินเดีย  ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงและมีกำลังซื้อ อีกทั้งยังมีนักธุรกิจต่างชาติอาศัยอยู่จำนวนมาก ประชากรอินเดียที่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวจึงได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ และวัฒนธรรมจากประเทศตะวันตกค่อนข้างมาก สนใจสินค้านำเข้าที่มีสไตล์และทันสมัย สินค้าและบริการไทยที่มีศักยภาพเหมาะกับการเจาะตลาดนี้ คือ อาหารและเกษตรแปรรูป ร้านอาหาร ของตกแต่งบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เฟอร์นิเจอร์บิลด์อินที่มีแบบทันสมัย บริการออกแบบตกแต่งภายใน แฟชั่น เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย เครื่องสำอางสำหรับสุภาพสตรีวัยทำงาน   และสถานบริการด้านเสริมความงามและลดน้ำหนัก


- รัฐคุชราตซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของรัฐมหาราษฎระเป็นรัฐ Dry State ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ และชำนาญในเรื่องการเจียรไนเพชร สินค้าเป้าหมายของรัฐจึงเน้นเป็นกลุ่มอัญมณี พลอยสี ยา/สมุนไพร และอาหารมังสวิรัติ
- รัฐทมิฬนาฑู เป็นเมืองท่าสำคัญทางอินเดียตอนใต้ และเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์    สิ่งทอ และอากาศยานของอินดีย สินค้าเป้าหมายและบริการเป้าหมาย คือ แป้งมัน ผลิตภัณฑ์ยาง ผลไม้สด/    แปรรูป เครื่องประดับยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และบริการคาร์แคร์


-  รัฐเตลังกานา เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยาและไอทีของอินเดีย เหมาะสำหรับเจาะกลุ่มผู้บริโภค Super Rich และมุสลิม สินค้าและบริการเป้าหมาย คือ อาหารฮาลาล วีแกน ไลฟ์สไตล์ แฟชั่นที่มีนวัตกรรมและดีไซน์ กล้วยไม้ การถ่ายทำ/ตัดต่อภาพยนตร์ และบริการรับจัดงานแต่งงาน


- รัฐเวสต์เบงกอล เป็นเมืองท่าธุรกิจทางฝั่งตะวันออกของอินเดีย และเป็นพื้นที่เชื่อมต่อไปยัง     ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย หรือรัฐเจ็ดสาวน้อย สินค้าเป้าหมาย คือ อาหาร วัสดุก่อสร้าง ออกแบบตกแต่งภายใน เครื่องใช้ในครัวเรือน และของตกแต่งบ้าน
 
- รัฐเจ็ดสาวน้อย เป็นพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ประกอบด้วย 7 รัฐ คือ     อัสสัม เมฆาลัย มณีปุระ มิโซรัม ตรีปุระ อรุณาจัลประเทศ และนากาแลนด์ ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมโยงเส้นทางขนส่ง      ทางบกจากอาเซียน-อินเดีย โดยมีสินค้าและบริการเป้าหมาย ได้แก่ อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ในบ้าน เสื้อผ้าแฟชั่นที่มีราคาไม่สูงมาก บริการโลจิสติกส์


- นิวเดลี เป็นดินแดนสหภาพอาณาเขตของรัฐบาลกลางอินเดีย และเป็นเมืองหลวงของอินเดีย โดยมีสินค้าเป้าหมาย คือ อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงรส ของตกแต่งบ้าน แฟชั่นเครื่องประดับ และเครื่องใช้ไฟฟ้า  


ด้านนางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวเสริมว่า กรมฯ ได้ให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศในอินเดียทั้ง 3 แห่ง สำรวจและศึกษาโอกาสของสินค้าไทยที่มีศักยภาพตามความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละรัฐเพื่อเลือกรัฐเป้าหมาย 7 รัฐดังกล่าว และวางกลยุทธ์เข้าสู่ตลาดโดยใช้การจับคู่สินค้าและธุรกิจบริการไทยที่มีศักยภาพที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละรัฐ เพื่อให้การเจาะตลาดอินเดียเกิดผลที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น


สำหรับในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จะมีกิจกรรมที่เป็น Flagship สำคัญในตลาดอินเดีย อาทิ การจัดคณะผู้แทนการค้าธุรกิจบริการ Event Business เดินทางไปเจรจาการค้าในรัฐมหาราษฎระ เมืองมุมไบ ในเดือนพฤษภาคม 2562 ซึ่งจะเป็นช่วงเดียวกันกับที่สภาธุรกิจไทย-อินเดีย กำหนด     นำคณะนักธุรกิจกลุ่ม Hospitality และวัสดุก่อสร้าง เดินทางไปเจรจาการค้าในเมืองมุมไบ และเตรียมการประชุม ITJBF (Indian-Thai Joint Business Forum) ที่จะจัดในไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562


จากนั้นในเดือนกรกฎาคม 2562 จะมีกิจกรรมส่งเสริมการขายผลไม้ไทย โดยเฉพาะ ลำไย มังคุด ร่วมกับ         ห้าง Modern Trade รายใหญ่ของอินเดีย อาทิ Reliance และ Future Group ในรัฐมหาราษฎระ รัฐคุชราต         รัฐเตลังกานา รัฐทมิฬนาฑู รัฐเวสต์เบงกอล และนิวเดลี รวมกว่า 40 สาขา


นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้เดินหน้าผลักดันและส่งเสริมความร่วมมือกับ PayTM ซึ่งเป็นหนึ่งใน On-line Platform รายสำคัญของอินเดีย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับบริษัท Trading รายใหญ่ของไทยเพื่อทำหน้าที่รวบรวมสินค้าไทยส่งให้ PayTM ไปกระจายในตลาดอินเดียต่อไป โดยหากความร่วมมือดังกล่าวเป็นบรรลุผลสำเร็จจะส่งผลให้สินค้าไทยสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคตลาดออนไลน์ในอินเดียได้ดีขึ้น  


ในปี 2561 การค้าระหว่างไทยและอินเดียมีมูลค่ารวม 12,463.75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 20.16 แบ่งเป็นไทยส่งออกไปอินเดียมูลค่า 7,600.32 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 17.34 และไทยนำเข้าจากอินเดีย 4,863.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 24.86 และในเดือนมกราคม 2562 การค้าระหว่างไทยและอินเดียมีมูลค่ารวม 1,074.53 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 4.8 แบ่งเป็นไทยส่งออกไปอินเดีย 639.67 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 3.11 และไทยนำเข้าจากอินเดีย 434.86 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 7.4


ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจดำเนินธุรกิจในตลาดอินเดีย และเอเชียใต้ สามารถดูรายละเอียดกิจกรรมส่งเสริมตลาดได้ที่ http://drive.ditp.go.th หรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับตลาดเพิ่มเติมได้ที่สำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ 1 กลุ่มงานเอเชียใต้ แอฟริกา และตะวันออกกลาง หมายเลขโทรศัพท์         02-507-8209 หรือ 02-507-8239 ถึง 8240