สศช. ชี้ หนี้ครัวเรือนไทยลดลง

นางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงสถานการณ์หนี้สินครัวเรือนของประเทศไทยในไตรมาสสาม ปี 2561 ว่า ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้มีการนำเสนอรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2561 ม สู่สาธารณะ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 พ.ย. 61 ที่ผ่านมา โดยรายงานดังกล่าวได้นำเสนอสถานการณ์และความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญในรอบไตรมาสที่ผ่านมา เช่น สถานการณ์ด้านแรงงาน หนี้สินครัวเรือน การเกิดอุบัติเหตุ การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวัง เป็นต้น

แต่เนื่องจากครั้งที่ผ่านมาอาจให้ข้อมูลไม่ครอบคลุม สศช. จึงขอรายงาน เพิ่มเติมเพื่อให้สังคมและสาธารณชนสามารถติดตามและเข้าใจสถานการณ์ทางด้านหนี้สินครัวเรือนได้อย่างชัดเจนและสอดคล้องกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น โดยยืนยันว่าหนีครัวเรือนลดลงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ของประเทศ

ขณะที่หนี้ครัวเรือนที่มี เมื่อเจาะลงรายละเอียดพบว่าเป็นซื้อบ้าน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นการสะสมทรัยพ์ โดยข้อมูลส่วนนี้มาจากธนาคารพาณิชย์ ในขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ยังไม่น่ากังวล โดยพิจารณาจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่น้อย การผิดชำระบัตรเครดิตเกิน 3เดือน แต่สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังคือการใช้เงินผ่านฟินเทค ที่ทำให้เกิดปัญหาหนี้สะสมและใช้เงินเกินกว่าที่หาได้

สำหรับรายละเอียดพบว่า ในไตรมาสสอง ปี61 (ข้อมูลล่าสุด) หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 12.34 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.7% เทียบกับ 59 อยู่ที่3.8%และปี 60อยู่ที่ 4.6% ส่วนหนึ่งเนื่องจากเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับที่ต่ำ และความต้องการซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เร่งตัวขึ้นตั้งแต่กลางปี 60 เป็นต้นมา หลังจากเริ่มสิ้นสุดเงื่อนไขการถือครองรถยนต์อย่างน้อย 5 ปี ก่อนการโอนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ตามนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรก (สิ้นสุดเงื่อนไขวันที่ 31 ธันวาคม60)

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) พบว่า มีแนวโน้มลดลงอย่างช้า ๆ จากสัดส่วนที่สูงสุดในปี2558 อยู่ที่ 80.8 % ลดลงเป็น79.3% ในปี 59 และลดลง เหลือ 78.05% ในปี 60 และในไตรมาส2 ปี 61 ลดเหลือ77.5%

โดยวัตถุประสงค์ของการก่อหนี้ เกินกว่าครึ่งหนึ่งเป็นการกู้เพื่อซื้อสินทรัพย์ถาวร จากข้อมูลสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ที่ให้กับครัวเรือนล่าสุด ณ สิ้นไตรมาสสามปี 61 สัดส่วนประมาณ 73.0% ของสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับครัวเรือนรวม เป็นการกู้ยืมเพื่อซื้อที่ดิน ที่อยู่อาศัย รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอื่น ๆ ดังนั้นจึงเป็นการก่อหนี้ที่ทำให้เกิดการสะสมสินทรัพย์เพิ่มขึ้นไปพร้อมกัน (สัดส่วนการให้สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เท่ากับ 51.5% และสัดส่วนการให้สินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เท่ากับ 23.8% ) โดยสินเชื่อที่ให้กับการซื้อที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์ และรถยนต์และรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น6.4% และ 12.5% ตามลำดับ สำหรับสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอื่น ๆ (สัดส่วน 25.8% ) เพิ่มขึ้น 8.7%

นอกจากนั้นภาระหนี้เพิ่มขึ้นแต่ความสามารถในการชำระหนี้ยังไม่น่ากังวล พิจารณาจาก ในไตรมาสที่ 3 ปี 61 หนี้เพื่อการอุปโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้น 7.8% ชะลอลงจาก 10.3% สัดส่วนหนี้เพื่อการอุปโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมและ NPL อยู่ที่ 2.73% และ 26.80% ใกล้เคียงกับ 2.72% และ 26.22% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามลำดับ การผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อเกิน 3 เดือนของบัตรเครดิตลดลง 0.2% และของสินเชื่อภายใต้การกำกับเพิ่มขึ้น 9.7%

ปัญหาหนี้สินครัวเรือนยังเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจาก (1) มูลค่าหนี้สินครัวเรือนอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากมีปัจจัยภายนอกมากระทบอาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนได้ โดยเฉพาะ 1) สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และ 2) สินเชื่อซื้อ/ เช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อเพื่อการบริโภคบุคคลอื่น ๆ ที่ค่อย ๆ เร่งตัวขึ้น ตามมาตรการส่งเสริมการขายที่จูงใจผู้บริโภคและอาจทำให้เกิดการก่อหนี้เพิ่ม และ (2) ประชาชนมีโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการเงิน (Fin-tech) ที่ทำให้มีความสะดวกในการทำธุรกรรมทางการเงินมากขึ้น ซึ่งหากขาดความตระหนักในการมีวินัยทางการเงิน รวมถึงความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการด้านการเงิน อาจนำไปสู่พฤติกรรมการใช้จ่ายที่เกินความสามารถในการหารายได้ และความสามารถในการชำระหนี้สิน

นอกจากนั้นในช่วงที่ผ่านมารัฐบาล ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน ทั้งในระบบและนอกระบบอย่างต่อเนื่องโดยมีมาตรการสำคัญ ๆ อาทิ

1. โครงการคลีนิคแก้หนี้ โดยความร่วมมือระหว่างสมาคมธนาคารไทยและสมาคมธนาคารนานาชาติภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการดำเนิน “โครงการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลสำหรับผู้ที่ไม่มีหลักประกัน” เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินกับธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ได้ รวมทั้งบริหารจัดการชำระหนี้ของตนเองได้อย่างเหมาะสมตามความสามารถที่แท้จริงควบคู่กับการเสริมสร้างวินัยทางการเงินที่ดี

2. การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โดยมีการดำเนินการตามแนวทางของกระทรวงการคลัง 5มิติ ได้แก่ 1)ดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย 2) การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบให้กับลูกหนี้นอกระบบ และประชาชนทั่วไป ได้แก่ การอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ “สินเชื่อรายย่อย ระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อฟิโกไฟแนนซ์)” และการจัดตั้ง “หน่วยแก้หนี้นอกระบบ” (Business Unit) ภายในธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ โดยจัดให้มี “จุดให้คำปรึกษาปัญหาหนี้นอกระบบ” ณ สาขา ธ.ออมสิน และธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ 4) เพิ่มศักยภาพของลูกหนี้นอกระบบที่ไม่มีศักยภาพในการหารายได้ หรือมีความสามารถในการชำระหนี้ต่ำ โดยการสนับสนุนด้านการฟื้นฟูอาชีพ และ 5)สนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรการเงินชุมชนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สร้างเครือข่ายองค์กรการเงินชุมชน

3.มาตรการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยกระทรวงศึกษาธิการและธนาคารออมสินได้ร่วมกันออกมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา (4) มาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย ได้แก่ 1) โครงการขยายเวลาชำระหนี้ให้เกษตรกรรายย่อย ที่เป็นลูกค้าของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่1 ส.ค. –31ก.ค. 64 2.) โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกรรายย่อย เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ 1 ส.ค. 31ก.ค. 62 (5) การจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิกและเพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนแก่สมาชิกเมื่อสิ้นสมาชิกภาพ