Bangkok Statement ก้าวหน้าสู่โลกที่ปลอดภัย



"สธ.-สพฉ.-สสส.-WHO" พร้อมผู้แทนองค์กรนานาชาติ ร่วมประกาศแถลงการณ์กรุงเทพ ก้าวหน้าสู่โลกที่ปลอดภัย ห่างไกลการบาดเจ็บ ความรุนแรงอย่างยั่งยืน พร้อมส่งต่อธงเจ้าภาพจัดประชุม Safety 2020 ให้ออสเตรเลีย

ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีประกาศแถลงการณ์กรุงเทพ (Bangkok Statement) ก้าวหน้าสู่โลกที่ปลอดภัย ห่างไกลการบาดเจ็บและความรุนแรงอย่างยั่งยืน ตามแนวทางของสมัชชาอนามัยโลก 2562 ต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทำพิธีปิดการประชุมระดับโลกว่าด้วยการป้องกันการบาดเจ็บและการส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่ 13 (Safety 2018 – The 13th  World Conference on Injury Prevention and Safety Promotion) 

นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า รูปแบบการประชุมโลก Safety 2018 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เกิดขึ้นจากการทบทวนหารือถึงความก้าวหน้าในการป้องกันการบาดเจ็บและการส่งเสริมความปลอดภัยหลังจากการประชุมโลกครั้งที่ 12 ที่ประเทศฟินแลนด์ สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในครั้งนี้คือการประสานงานที่เข้มแข็งขึ้นของทั้งภาครัฐและภาคสังคม เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการบาดเจ็บและความรุนแรง โดยอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ประกอบไปด้วย องค์การอนามัยโลก (WHO) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

ดร.แดเนียล เคอร์เตส ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การบาดเจ็บและความรุนแรงเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันแก้ไขได้ ทั้งการบาดเจ็บจากการจราจรทางถนน การจมน้ำ บาดแผลไฟไหม้ การล้ม การโดนยาพิษ การใช้ยาเกินขนาด การฆ่าตัวตายและการฆาตกรรม ความรุนแรงในชุมชน ความรุนแรงต่อผู้หญิง เด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุ ทั้งนี้ ปัญหาทั้งหมดยังคงมีผลต่อด้านสาธารณสุข และท้าทายการพัฒนาที่สำคัญของประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง โดยเฉพาะแนวโน้มเป้าหมายด้านความปลอดภัยทางถนนของ SDG เป้าหมายที่ 3.6 และ 11.2 ที่อาจจะไม่บรรลุผล แต่หากประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก คณะกรรมการสหประชาชาติ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น เพิ่มความพยายามในการดำเนินการตามมติสมัชชาแห่งสหประชาชาติ A / RES / 72/271 ในเรื่องการปรับปรุงความปลอดภัยบนท้องถนนทั่วโลก เป้าหมาย SDG ก็อาจสัมฤทธิ์ผลได้ 

ด้าน ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า วิธีการสนับสนุนงานป้องกันการบาดเจ็บและความรุนแรงที่สำคัญคือ การเสริมสร้างความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลระดับชาติ ที่ติดตามความคืบหน้าของการส่งเสริมความปลอดภัย และสนับสนุนการวิจัยเชิงพื้นที่ เพื่อนำหลักฐานเชิงประจักษ์มาประกอบการตัดสินใจในการผลักดันให้เกิดนโยบายความปลอดภัย 

ทั้งนี้ สสส. ได้บรรจุแผนจัดการความปลอดภัยและปัจจัยเสี่ยงทางสังคม เพื่อมุ่งตอบสนองเป้าประสงค์ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้านการจัดการความปลอดภัยทางถนน โดยสนับสนุนการดำเนินงานตามทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน (ปี 2554-2563) ของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ด้วยการส่งเสริมการพัฒนานโยบายสาธารณะใหม่ เช่น การลดความเร็วของการขับขี่ในเขตเมือง การเพิ่มโทษผู้ดื่มแล้วขับและเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมฐานข้อมูลการกระทำผิดซ้ำ ส่งเสริมให้เกิดมาตรการองค์กรด้านความปลอดภัยทางถนน มาตรการองค์กรส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ยกระดับความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ และที่สำคัญคือการสานพลังเชื่อมภาคีเครือข่ายทั้งภาคประชาชน รัฐ เอกชน และท้องถิ่นในระดับอำเภอและพื้นที่ เพื่อนำหลักฐานเชิงประจักษ์มาประกอบการตัดสินใจในการผลักดันให้เกิดนโยบายความปลอดภัย และร่วมสนับสนุนการรณรงค์สื่อสารไปยังสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านทัศนคติและพฤติกรรม