แกนนำกปปส.ตรวจสอบพยานหลักฐานข้อหาก่อการร้าย

นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย พร้อมด้วยพระพุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย และแกนนำกปปส. เช่น นาย สาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายชุมพล จุลใส นาย อิสระ สมชัย นายวิทยา แก้วภราดัย นาย ถาวร เสนเนียม ได้เดินทางมาที่ศาลอาญา ถ.รัชดา เพื่อมาตามหมายที่ศาลอาญานัดตรวจสอบพยานหลักฐานอดีต 23 แกนนำกปปส. ชุดที่ 1 และ 2 ในข้อหาก่อการร้ายและกบฎ 


โดย นาย สุเทพ เปิดเผยก่อนขึ้นศาลอาญาว่า วันนี้อดีตแกนนำกปปส.รวม 23 คน มาตรวจสอบพยานหลักฐานหลังถูกฟ้องในข้อหาก่อการร้าย กบฏ อั้งยี่ และซ่องโจร ตามพระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน บุกรุกสถานที่ราชการ และขัดขวางการเลือกตั้ง ซึ่งทั้งหมดพร้อมที่จะรับผิดชอบและต่อสู้ทุกข้อกล่าวหา โดยยังยืนยันว่ายังปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เพราะการออกมาชุมนุมเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของประเทศ โดยชุดของนายสุเทพที่ถูกอัยการสั่งฟ้องชุดแรกจะเข้ารับการพิจารณาคดีก่อน จากนั้นจึงเป็นแกนนำชุดที่ 2 อีก 14 คน โดยจะขอต่อศาลให้แยกการพิจารณาคดีของจำเลย และให้ศาลพิจารณาให้อัยการถอนฟ้องไปก่อน เพื่อให้นำคดีกลับไปพิจารณาใหม่ เพราะมองว่าผู้ที่ถูกสั่งฟ้องบางคนไม่ได้มีพฤติกรรมตามที่ถูกกล่าวหา เช่น บุคคลที่ขัดขวางการเลือกตั้งก็ให้ดำเนินคดีในข้อหาขัดขวางการเลือกตั้ง บุคคลใดบุกรุกสถานที่ราชการก็ให้ดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ ไม่ใช่แจ้งข้อหาครอบจักรวาล และหากอัยการยังยึดหลักความยุติธรรมก็ควรให้โอกาสจำเลยเหมือนอย่างที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ใช้เวลา 4-5 ปีในการรวบรวมพยานหลักฐานและทำสำนวน  เพราะในทางกฎหมายถือว่าจำเลยเสียโอกาสจากการเตรียมตัวต่อสู้คดี จึงควรให้จำเลยได้มีโอกาสรวบรวมพยานหลักฐาน  


นายสุเทพ ยังเห็นด้วยที่นาย ไพบูลย์ นิติตะวัน ไปยื่นฟ้องอดีตอธิบดีอัยการที่สั่งฟ้องเหมารวมคดีกบฎ เพราะมองว่าหากสิ่งที่อัยการดำเนินการไปไม่ถูกต้อง ก็ต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน การที่อัยการไม่ได้แยกแยะข้อหากับจำเลย แต่ละคนนั้น มองว่าอัยการไม่ได้ใช้ความรู้และจิตวิญญาณในฐานะอัยการตามกระบวนการยุติธรรมให้เกิดความสมบูรณ์