+ จริงหรือ ..??

นักวิชาการ ด้านรัฐศาสตร์ เชื่อมั่นว่าไทยจะได้ผลบวกในเชิงการเมือง จากแนวนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 45 

เพราะไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตยเหมือนในอดีต 

ขณะที่ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงยอมรับว่า ต้องเตรียมพร้อมดำเนินนโยบายแบบปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เพื่อรับมือกับผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเข้าพิธีสาบานตน เพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของประเทศอย่างเป็นทางการของนายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ส่งผลให้รัฐบาล-คสช. ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง 

โดยรองศาสตราจารย์ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) เชื่อว่าสหรัฐอเมริกาจะเข้าใจสถานการณ์ของไทยมากขึ้น ด้วยนโยบายด้านการต่างประเทศ ที่ไม่ผูกโยงกับเงื่อนไขด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ประกอบกับประสบการณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่เคยอยู่ในไทย

แต่นับจากนี้ไปรัฐบาลไทย จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน โดยเฉพาะการระมัดระวังบทบาทและการให้ความสำคัญกับ 2 ขั้วอำนาจ ระหว่างจีนและสหรัฐฯไปพร้อมๆ กัน 

ซึ่งอาจต้องดำเนินนโยบายแบบปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อน

ไม่ต่างกับความเห็นของผู้ช่วยศาสตราจารย์วิบูลพงศ์ พูนประสิทธิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มั่นใจว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯ จะมุ่งเน้นผลประโยชน์ของชาติมากขึ้น 

โดยเฉพาะแนวทางการดึงการลงทุนกลับไปยังสหรัฐฯ และปฏิเสธไม่ได้ว่าไทยจะได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน แต่ในทางการเมืองนั้น ไทย..ได้รับในทางบวก โดยเฉพาะแนวนโยบายด้านการต่างประเทศที่สหรัฐฯ ไม่มุ่งเน้นสิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย เหมือนในอดีต

และด้วยแนวนโยบายที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศให้ความสำคัญกับชาวอเมริกัน หรืออเมริกันเฟิร์สนั้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิบูลพงศ์ เชื่อว่าจะสืบเนื่องให้จีน เข้ามามีบทบาทในเอเชียมากขึ้น และจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทย จะต้องระมัดระวังการกำหนดท่าที ระหว่างสหรัฐฯและจีน ด้วยการดำเนินนโยบายที่เป็นมิตร และวางตัวให้เป็นกลางกับทั้ง 2 ขั้วอำนาจ